คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

การควบคุมอาคารและการผังเมือง : คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (มาตรา 31 มาตรา 39 ทวิ มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42)
  2. กฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 1 และข้อ 2)
  3. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 74 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาทซึ่งเป็นตึก 8 ชั้น จำนวน 1 หลัง เพื่อใช้เป็นอาคารพักอาศัย พื้นที่รวม 5,043 ตารางเมตร ต่อมา นาย ส. เจ้าของอาคารที่อยู่ข้างเคียงอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการเขตจตุจักร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) เพื่อขอให้ตรวจสอบอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีว่าก่อสร้างถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่า ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 รายการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคารพิพาทจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารพิพาทตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 รวมทั้งได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น เห็นว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งดังกล่าวให้ถูกต้อง จึงมีคำสั่งลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทบางส่วน จำนวน 4 รายการ ได้แก่ รายการข้อ 1 ตามแบบ ระดับพื้นอาคารชั้นล่าง ± 0.00 เมตร แต่ก่อสร้างสูงประมาณ 1.20 เมตร รายการข้อ 2 มิได้ทำการก่อสร้างบันไดที่ตำแหน่ง 3 C และ 5 C รายการข้อ 3 บริเวณด้านทิศตะวันออก ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 4 ได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องเพื่อใช้สอย และรายการข้อ 4 กั้นผนังอาคารชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม

กรณีตามรายการข้อ 1 นั้น โดยที่ข้อ 1 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดว่า “อาคารสูง” หมายความว่า อาคารที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือเข้าใช้สอยได้โดยมีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้า และข้อ 2 วรรคหนึ่งของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน กำหนดว่า ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดินนั้นยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร การที่ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างพื้นอาคารชั้นล่างจาก ± 0.00 เมตร เป็น ± 1.20 เมตร และได้ก่อสร้างโครงเหล็กหลังคามุงกระเบื้องปกคลุมพื้นที่ชั้นดาดฟ้าและกั้นผนังโดยรอบเป็นชั้นที่ 9 ทำให้ความสูงของอาคารพิพาทเพิ่มขึ้นเป็น 25.08 เมตร ย่อมถือว่าเป็นอาคารสูงตามข้อ 1 ของกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนั้น เมื่อบริเวณด้านหน้าอาคารพิพาทติดกับถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างเพียง 5 เมตร จึงไม่สามารถก่อสร้างอาคารสูงในที่ดินดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อข้อ 2 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการแก้ไขอาคารพิพาทมิให้เข้าลักษณะเป็นอาคารสูงตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว

สำหรับกรณีตามรายการข้อ 3 นั้น โดยที่ข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาท กำหนดว่า อาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินเอกชน ให้ผนังด้านที่มีหน้าต่าง ประตู หรือช่องระบายอากาศ อยู่ห่างจากเขตที่ดินได้ สำหรับชั้นสองลงมาระยะไม่น้อยกว่า 2 เมตร สำหรับชั้นสามขึ้นไประยะไม่น้อยกว่า 3 เมตร และวรรคสอง กำหนดว่า สำหรับอาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน ริมระเบียงต้องห่างจากเขตที่ดินตามวรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริเวณด้านทิศตะวันออกของอาคารพิพาท ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 4 ผู้ฟ้องคดีได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องใช้สอย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารพิพาทใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ขออนุญาตก่อสร้างเป็นกันสาดได้ จึงมีลักษณะเป็นระเบียงของอาคาร ทำให้ระเบียงมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินเอกชนเพียง 1.15 เมตร อันเป็นการขัดต่อข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารส่วนข้างต้นให้เป็นกันสาดตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

ส่วนกรณีตามรายการข้อ 4 ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำการกั้นผนังอาคารพิพาทชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตบริเวณอาคารชั้นล่างจะต้องเป็นพื้นที่เปิดโล่ง การกระทำของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้

เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกรณีที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทยื่นคำขออนุญาตหรือดำเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งข้างต้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารและผู้ครอบครองอาคารพิพาทรื้อถอนอาคารบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ที่ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทตามรายการข้างต้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า อาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ถูกฟ้องคดีไม่เคยออกคำสั่งใด ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารพิพาท นั้น โดยที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้

โดยสรุป พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้ 

คำสำคัญ: ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต/เจ้าพนักงานท้องถิ่น/คำสั่งให้รื้อถอนอาคาร/อาคารสูง/อาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน/การก่อสร้างอาคารสูง

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 427/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

การขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

การขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

ความรับผิดอย่างอื่น : ขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 (มาตรา 28 มาตรา 29 มาตรา 30 และมาตรา 30 ทวิ วรรคสาม)

คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี โดยที่ดินดังกล่าวบางส่วนอยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ อยุธยา 4-สีคิ้ว 2 จำนวน 3 ไร่ 23.2 ตารางวา คณะกรรมการพิจารณาราคาที่ดินและทรัพย์สินจังหวัดสระบุรีมีมติให้นำราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมปี พ.ศ. 2555 ถึง พ.ศ. 2558 มาเป็นฐานราคาที่ดิน และปรับเพิ่มอีกร้อยละ 20 เพื่อให้เป็นราคาประเมินทุนทรัพย์ที่จะมีการปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. 2559 แล้วนำมาปรับเพิ่มอีกในอัตรา 3 เท่า ทุกหน่วยราคา เป็นเกณฑ์กำหนดถือจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่ในโซน 03 บล็อก เอ หน่วยที่ ที่ดินไม่ติดถนน ซอย ทาง มีราคาค่าทดแทน ไร่ละ 150,000 บาท กำหนดจ่ายร้อยละ 90 จึงกำหนดค่าทดแทนเป็นเงิน 412,830 บาท ต่อมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 มีนาคม 2559 แจ้งจำนวนเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินดังกล่าว จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ขอค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยืนราคาเดิมและได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพิ่มให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงิน 4,321,170 บาท

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ค่าทดแทนฯ ที่แต่งตั้งโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รับฟังได้ว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ และด้านทิศใต้ติดเหมืองสาธารณประโยชน์ กรณีจึงต้องถือว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง อย่างไรก็ดี แม้ว่าที่ดินแปลงพิพาทจะเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณารูปแปลงที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองประกอบหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีมติตามรายงานการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ครั้งที่ 56/2558 (ครั้งที่ 366) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ที่กำหนดไว้ว่า หน่วยที่ 7 ที่ดินติดถนน ซอย ทาง ระยะ 40 เมตร และหน่วยที่ 8 ที่ดินนอกเหนือจากหน่วยที่ 1-7 แล้วเห็นว่า ในการกำหนดหลักเกณฑ์ในหน่วยที่ ที่กำหนดว่า ที่ดินนอกเหนือจากหน่วยที่ 1-7 นั้น ย่อมมีความหมายรวมถึงที่ดินที่ติดถนน ซอย ทาง แต่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านพ้นระยะ 40 เมตร จากถนน ซอย ทาง ด้วย มิได้มีความหมายแต่เพียงว่าเป็นที่ดินที่ไม่ติดถนน ซอย ทาง แต่เพียงอย่างเดียว เมื่อปรากฏว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ สภาพการทำประโยชน์เป็นที่นา ที่ดินบริเวณที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านอยู่ลึกเข้าไปพ้นระยะ 40 เมตร จากถนนด้านทิศเหนือของแปลงที่ดิน แม้จะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดไว้ในหน่วยที่ 7 ว่าจะต้องเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง และถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านในระยะ 40 เมตร จากถนน ซอย ทาง ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ และด้านทิศใต้ติดเหมืองสาธารณประโยชน์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาระวางแผนที่ ยูทีเอ็ม ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จัดทำขึ้น จะเห็นได้ว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองบริเวณที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านเริ่มจากด้านทิศใต้ของแปลงที่ดินที่ติดกับเหมืองสาธารณประโยชน์ในระยะ 40 เมตร จากเหมืองสาธารณประโยชน์ และเยื้องไปทางด้านทิศเหนือของแปลงที่ดิน เมื่อพิจารณาถึงรูปแผนที่ที่ดินและสภาพทำเลที่ตั้งของที่ดินแล้วเห็นว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีทำเลและที่ตั้งดีกว่าที่ดินที่ไม่มีทางออกหรือไม่ติดถนน ซอย ทาง ซึ่งอยู่ในหน่วยที่ 4 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กำหนดราคาค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินไร่ละ 150,000 บาท ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหน่วยที่ 8 เช่นเดียวกับที่ดินที่ไม่มีทางออกหรือไม่ติดถนน ซอย ทาง จึงยังไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นควรกำหนดค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเพิ่มขึ้นในราคาที่ลดหลั่นจากราคาประเมินในหน่วยที่ 7 โดยกำหนดค่าทดแทนให้ในราคาไร่ละ 170,000 บาท เมื่อที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา อยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าเนื้อที่ 3 ไร่ 23.2 ตารางวา กำหนดราคาค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้ในราคาไร่ละ 170,000 บาท กำหนดจ่ายค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนด คิดเป็นไร่ละ 153,000 บาท ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นเงินจำนวน 467,874 บาท แต่เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินไปฝากให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองในนามของเจ้ามรดกไว้แล้วที่ธนาคารกรุงไทย สาขาบางกรวย เป็นเงิน 412,830 บาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพิ่มให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 55,044 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนับแต่วันที่ต้องมีการฝากเงินค่าทดแทนตามมาตรา 30 ทวิ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535 แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีคำขอในส่วนของดอกเบี้ย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้

สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอุทธรณ์ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าเสียประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งแปลง เป็นเงิน 9,500,000 บาท นั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าและเดินสายส่งไฟฟ้าผ่านที่ดินของบุคคลเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 28 และมาตรา 29 โดยกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้าตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เพียงแต่เป็นการจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินบางประการ ส่วนที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองบริเวณที่อยู่นอกเขตเดินสายไฟฟ้าไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้เป็นกรณีของการเวนคืนที่ดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดให้เจ้าของที่ดินอาจร้องขอให้เวนคืนที่ดินหรือซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ ดังนั้น เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดให้อำนาจแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไว้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองแต่อย่างใด

โดยสรุป กรณีที่มีการประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าและเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของบุคคล กฎหมายกำหนดให้รัฐต้องจ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้าเท่านั้น กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เพียงแต่เป็นการจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินบางประการ ส่วนที่ดินบริเวณที่อยู่นอกเขตเดินสายไฟฟ้าไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินค่าทดแทนดังกล่าวไม่ได้เป็นกรณีของการเวนคืนที่ดินซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดให้เจ้าของที่ดินอาจร้องขอให้เวนคืนที่ดินหรือซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ หน่วยงานของรัฐจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาททั้งแปลงแต่อย่างใด

คําสําคัญ : ความรับผิดอย่างอื่น/การรอนสิทธิ/การกำหนดเขตโครงข่ายไฟฟ้า/ค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน/สภาพทำเลที่ตั้งของที่ดิน/จำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อผ. 235/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=7DqE2mp3FS8


ระยะเวลาการฟ้องคดีความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

ระยะเวลาการฟ้องคดีความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

ละเมิดต่อบุคคลภายนอก : ละเมิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ได้รับความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1336)
  2. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 51)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดที่ดินข้างเคียงที่ดินของผู้ฟ้องคดี และมีการย้ายหลักเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินย้ายหลักเขตไว้ตำแหน่งเดิมและยกเลิกการรังวัดที่ดินดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและได้ซึ่งดอกผลแห่งที่ดินดังกล่าว กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งที่ดินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้การรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงข้างเคียงยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และเจ้าพนักงานที่ดินยังมิได้ใช้อำนาจสั่งแก้ไขรูปแผนที่หรือเนื้อที่ในโฉนดที่ดิน แต่หากมีการย้ายหลักเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลเป็นการสอดเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยปกติสุข อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี และตราบใดที่ยังไม่มีการย้ายหลักเขตที่ได้มีการปักโดยมิชอบออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีอันจะเป็นเหตุให้การกระทำละเมิดนั้นยุติลง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่ต่อเนื่องตลอดมา การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองชั้นต้น จึงเป็นการยื่นฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

โดยสรุป เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและได้ซึ่งดอกผลแห่งที่ดินดังกล่าว กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งที่ดินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงข้างเคียงและมีการย้ายหลักเขตเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลเป็นการสอดเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินโดยปกติสุข อันเป็นการกระทำละเมิด ตราบใดที่ยังไม่มีการย้ายหลักเขตที่ได้มีการปักโดยมิชอบออกจากที่ดินอันจะเป็นเหตุให้การกระทำละเมิดนั้นยุติลง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่ต่อเนื่องตลอดมา เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ย้ายหลักเขตไว้ตำแหน่งเดิมและยกเลิกการรังวัดที่ดินข้างเคียง กรณีจึงเป็นการฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดี

คําสําคัญ : ละเมิดจากการใช้อำนาจ,ย้ายหลักเขตที่ดิน,ละเมิดต่อเนื่อง,ระยะเวลาการฟ้องคดีปกครอง

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1125/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=akZbM-ZbsUI


การผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครองเมื่อค่าปรับจะเกินร้อยละสิบ | เรื่องเด่น คดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง 0636364547

การผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครองเมื่อค่าปรับจะเกินร้อยละสิบ 

สัญญาทางปกครอง : การใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครองกรณีค่าปรับจะเกินร้อยละ 10

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 ข้อ 131 (ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 183)

เมื่อคดีนี้เป็นข้อพิพาทตามสัญญาจ้างเหมาปรับปรุงทางเดินเท้าและปรับปรุงภูมิทัศน์ระหว่างเทศบาลนคร (ผู้ถูกฟ้องคดี) กับผู้ฟ้องคดี อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งมีข้อกําหนดในสัญญาเรื่องเบี้ยปรับด้วย การพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับเบี้ยปรับ ศาลจึงชอบที่จะ นําเอาบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในส่วนที่ว่าด้วยเบี้ยปรับมาใช้บังคับได้ โดยอนุโลม สําหรับข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหาร ราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 นั้น เป็นเพียงการกําหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการที่หน่วยงานของรัฐใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามอําเภอใจ โดยการนําเงินค่าปรับจํานวนร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างมาเป็นหลักเกณฑ์หนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาบอกเลิกสัญญาเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าค่าปรับตามสัญญาจะต้องจํากัดไว้ไม่เกินจํานวนร้อยละสิบ ของวงเงินค่าจ้างหรือค่าพัสดุ และหน่วยงานของรัฐจะต้องพิจารณาบอกเลิกสัญญาเมื่อจํานวนเงินค่าปรับเกินกว่าร้อยละสิบของวงเงินค่าจ้างหรือค่าพัสดุแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ผู้รับจ้างมีหนังสือยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แม้เงินค่าปรับจะเกินกว่าร้อยละสิบของวงเงินค่าจ้างหรือค่าพัสดุก็มิได้หมายความว่าหน่วยงานของรัฐจะผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาโดยมิได้พิจารณาถึงผลงานของผู้รับจ้างว่าจะสามารถทํางานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่สมควรหรือไม่ เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จําเป็น การพิจารณาค่าปรับที่เหมาะสมจึงต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของคู่สัญญาในการเคารพและปฏิบัติตามข้อสัญญา พฤติการณ์แวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์สาธารณะ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เหตุที่ผู้ฟ้องคดีทํางานล่าช้ากว่ากําหนดเวลาในสัญญา เกิดจากความไม่เอาใจใส่และไม่ตั้งใจทํางานของผู้ฟ้องคดีเอง ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งว่ายินยอมชําระค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น และประสงค์ที่จะดําเนินงานตามสัญญาต่อไปนั้น การจัดหาผู้รับจ้างใหม่ตามระเบียบของทางราชการย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดทําบริการสาธารณะให้ต้องเนิ่นช้าออกไป ประกอบกับไม่ได้มีอุปสรรคที่ร้ายแรงถึงขนาดที่จะไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาและให้ผู้ฟ้องคดีทํางานต่อไปแม้จะมีค่าปรับเกินกว่าร้อยละสิบของค่าจ้างตามสัญญา จึงชอบด้วยข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ตาม การพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวต้องกระทําเพียงเท่าที่จําเป็นเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าภายหลังสิ้นสุดสัญญา แม้ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ที่จะทํางานต่อจนแล้วเสร็จ และยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พฤติการณ์การทํางานของผู้ฟ้องคดีที่ยังคงทํางานล่าช้า ขาดแคลนแรงงาน ไม่สามารถกําหนดวันทํางานแล้วเสร็จที่แน่นอน ไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จตามที่ให้คํามั่นไว้ และไม่จัดส่งแผนงานก่อสร้างแม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้มีหนังสือทวงถามเร่งรัดหลายครั้ง ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จและผู้ถูกฟ้องคดีควรพิจารณาบอกเลิกสัญญากับผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาออกไปถึง 515 วัน นับแต่วันที่ครบกําหนดอายุสัญญาย่อมเป็นผลเสียทั้งต่อผู้ฟ้องคดีที่ต้องเสียค่าปรับเพิ่มขึ้นและยังเป็นผลเสียต่อผู้ถูกฟ้องคดีในการจัดทําบริการสาธารณะที่ต้องล่าช้าออกไปเกินสมควร จึงไม่ถือเป็นการใช้ดุลพินิจเท่าที่จําเป็นในการผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาตามข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นฯ ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ทางได้เสียของผู้ถูกฟ้องคดีทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินแล้ว เห็นว่า ค่าปรับตามสัญญาเป็นค่าปรับที่สูงเกินส่วนเห็นควรลดค่าปรับให้แก่ผู้ฟ้องคดี ลงเหลือร้อยละ 50 ของจํานวนค่าปรับตามสัญญา

โดยสรุป การใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญากรณีค่าปรับจะเกินร้อยละสิบ ข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 (ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 183) เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการที่หน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดกรณีการบอกเลิกสัญญาตามอําเภอใจ โดยการนําเงินค่าปรับจํานวนร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างมาเป็นหลักเกณฑ์หนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาบอกเลิกสัญญาเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าค่าปรับตามสัญญาจะต้องจํากัดไว้ไม่เกินจํานวนร้อยละสิบ และหน่วยงานของรัฐจะต้องบอกเลิกสัญญาเมื่อจํานวนเงินค่าปรับเกินกว่าร้อยละสิบ ทุกกรณีไปแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่ผู้รับจ้างมีหนังสือยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แม้เงินค่าปรับจะเกินกว่าร้อยละสิบ นั้น ก็มิได้หมายความว่าหน่วยงานของรัฐจะผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องพิจารณาถึงผลงานของผู้รับจ้างว่าจะสามารถทํางานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่สมควรหรือไม่ เนื่องจากการใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวต้องกระทําเท่าที่จําเป็น โดยพิจารณาถึงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของคู่สัญญาในการเคารพและปฏิบัติตามข้อสัญญาพฤติการณ์แวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์สาธารณะเป็นกรณีไปเป็นสําคัญ 

คําสําคัญ : สัญญาทางปกครอง,สัญญาจ้างเหมาปรับปรุงทางเดินเท้าและปรับปรุงภูมิทัศน์,สัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค,ค่าปรับ,ค่าปรับเกินร้อยละสิบ,ค่าปรับสูงเกินส่วน,การพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครอง,ดุลพินิจ,การใช้ดุลพินิจตามอําเภอใจ

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.324/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=kHC-OUH3qv0


การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เปิดโอกาสแข่งขันอย่างเป็นธรรม | เรื่องเด่น คดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เปิดโอกาสแข่งขันอย่างเป็นธรรม 

การพัสดุ : การยกเลิกการจัดซื้อหรือจัดจ้าง

หลักการสําคัญในการซื้อหรือการจ้างหรือการทําสัญญาของรัฐซึ่งรวมถึงหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นนั้น มีหลักการสําคัญในส่วนของวัตถุประสงค์ว่า ต้องดําเนินการโดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของหน่วยงานของรัฐหรือประโยชน์สาธารณะ และมีหลักการสําคัญในส่วนของการคุ้มครองและเป็นหลักประกันสิทธิของผู้เกี่ยวข้องว่า ต้องกระทําโดยเปิดเผย ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ดังนั้น โดยหลักรัฐจึงต้องมีข้อกําหนดในลักษณะ ที่ไม่เป็นการขัดหรือแย้งต่อหลักการดังกล่าว โดยหากเป็นกรณีที่เป็นการคัดเลือกเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐเป็นการทั่วไป การกําหนดคุณสมบัติดังกล่าวจะต้องไม่ถึงขนาดที่ทําให้เห็นได้ว่า ในทางข้อเท็จจริงแล้ว จะมีผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องที่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อเป็นคู่สัญญากับรัฐได้เพียงรายเดียว เพราะกรณีเช่นนี้ย่อมเท่ากับว่าข้อกําหนดดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อหลักการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อยกเว้นในกรณีมีเหตุผลความจําเป็นเฉพาะให้หน่วยงานของรัฐสามารถกําหนดคุณสมบัติของผู้เสนอราคาให้มีลักษณะเฉพาะได้โดยในส่วนของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอเป็นผู้ใช้อํานาจกํากับดูแลให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติงานไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ดังเช่นที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า โครงการจ้างเหมาซ่อมผิวทางจํานวน 9 ช่วง ตามประกาศประกวดราคาจ้างเหมาซ่อมสร้างผิวทาง Para Cape Seal (โดยวิธี Pavement In-Place Recycling) ซ่อมสร้างผิวทาง Para Asphaltic Concrete และสร้าง ผิวทาง Para Cape Seal ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ จํานวน 9 โครงการ ขององค์การบริหารส่วนตําบล (ผู้ฟ้องคดี) เป็นโครงการที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้รับจ้างก่อสร้างเป็นพิเศษโดยต้องรู้วิธีการก่อสร้างและการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่มีมาตรฐานการก่อสร้าง เพื่อให้งานก่อสร้างถนน ที่ต้องการมาตรฐานการทํางานสูงสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ได้มาตรฐานงานสร้างเป็นอย่างเดียวกัน และได้ผู้รับจ้างที่มีศักยภาพเหมาะสมกับงานจ้างก็ตาม แต่การพิจารณาดําเนินการก่อสร้างโครงการซ่อมสร้างผิวทางถนนนี้ นอกจากจะคํานึงถึงลักษณะและประเภทของงานก่อสร้างรวมถึงคุณสมบัติ ของผู้รับจ้างแล้ว ยังต้องคํานึงถึงสถานที่ตั้งของโครงการประกอบด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานที่ ดําเนินการในคดีนี้แล้ว ล้วนมีที่ตั้งโครงการตั้งอยู่คนละจุดคนละหมู่บ้านไม่เชื่อมต่อ มีสถานที่ตั้ง ห่างไกลกัน โดยสภาพของโครงการทุกโครงการจึงไม่อาจรวมว่าจ้างเป็นโครงการเดียวกันได้ ทั้งหากทําการจัดซื้อจัดจ้างแยกเป็นรายโครงการ ผู้ฟ้องคดีก็ยังคงสามารถกําหนดคุณสมบัติของผู้รับจ้าง เพื่อให้ได้ผู้รับจ้างที่มีความสามารถดําเนินงานตามโครงการและมีเครื่องจักรพร้อมในการทํางานได้ อยู่เช่นเดิม ประกอบกับเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานในสํานวนคดีปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้ทําตาราง เปรียบเทียบการแยกโครงการการจัดซื้อจัดจ้างและการเลือกผู้รับจ้างรายใหญ่กับรายย่อย โดยระบุเหตุผลในลักษณะที่เห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีประสงค์จะทําการรวมโครงการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ได้ผู้เสนอราคาที่เป็นผู้รับจ้างรายใหญ่ แต่หากแบ่งโครงการออกเป็นโครงการย่อยจะทําให้ได้ผู้รับจ้างรายย่อย ซึ่งไม่มีเครื่องจักร บุคลากรที่เชี่ยวชาญไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะดําเนินงานได้ จึงย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีรวมการจัดจ้างซ่อมสร้างผิวทางถนนทั้ง 9 ช่วง เป็นโครงการเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีคาดหมายเพื่อให้ได้ผู้รับจ้างรายใหญ่มาดําเนินการตามโครงการของผู้ฟ้องคดี และเป็นการคาดการณ์ตามความเข้าใจของผู้ฟ้องคดีเองว่าผู้รับจ้างรายย่อยจะไม่สามารถดําเนินงานก่อสร้างได้ตามความประสงค์ของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกัน อย่างเป็นธรรม อีกทั้งหากทําการแยกโครงการจัดซื้อจัดจ้างออกเป็น 2 กลุ่ม ตามประเภทงาน ผู้ฟ้องคดี ย่อมได้ผู้ที่จะเข้าเสนอราคาเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสําหรับกลุ่มประเภทงานนั้น ๆ ที่จะสามารถดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงไปได้เช่นเดียวกัน ในทางกลับกัน การรวมการซ่อมสร้างถนน ทั้ง 9 ช่วง เป็นโครงการเดียวกัน หากผู้ชนะการประกวดราคาเป็นผู้มีความสามารถเฉพาะงาน ประเภทใดประเภทหนึ่ง อาจก่อให้เกิดปัญหาไม่สามารถก่อสร้างงานอีกประเภทหนึ่งให้สําเร็จลุล่วง ตามความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีเองได้ นอกจากนี้ ในแง่ของการประหยัดงบประมาณของทางราชการ ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่า หากแบ่งย่อยเป็นรายโครงการโดยกําหนดราคากลางเป็นรายโครงการ จะทําให้แต่ละโครงการต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่ารวมโครงการ เนื่องจากค่า Factor F จะสูงขึ้นนั้น ยังไม่อาจรับฟังวิธีการคํานวณค่าก่อสร้างกรณีรวมจัดจ้างโครงการเดียวตามคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีว่าเป็นการคํานวณที่ถูกต้องได้ ในชั้นประกาศประกวดราคานี้ผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่สามารถสรุปหรือคาดหมายได้ว่า การจัดการประกวดราคางานซ่อมสร้างผิวทางของผู้ฟ้องคดีโดยรวมการก่อสร้าง 9 ช่วง เป็นโครงการ เดียวกัน จะเป็นวิธีการที่ทําให้ผู้ฟ้องคดีประหยัดงบประมาณได้มากกว่า โดยหากมีการบริหารจัดจ้างที่ดี และมีการแข่งขันราคากันอย่างเป็นธรรมในแต่ละโครงการ อาจทําให้วงเงินที่จะจัดจ้างในแต่ละโครงการต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ได้

สําหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกําาหนดให้ผู้เสนอราคาต้องมีผลงานก่อสร้างและมีประสบการณ์ ในการทํางานภาครัฐในสัญญาเดียวที่มีมูลค่า 9,900,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นการกําหนดเพื่อแสดง ให้เห็นถึงขีดความสามารถของผู้เข้าเสนอราคานั้น เมื่อพิจารณาวงเงินค่าก่อสร้างในแต่ละช่วงงานแล้ว เห็นได้ว่า มีมูลค่างานไม่ถึง 9,900,000 บาท และเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าการจัดจ้างซ่อมสร้างผิวทาง ถนนตามโครงการของผู้ฟ้องคดีต้องแยกดําเนินการเป็นรายโครงการ หากผู้ฟ้องคดีประสงค์จะกําหนด มูลค่างานก่อสร้าง จึงควรกําหนดให้สอดคล้องต่อค่างานก่อสร้างในแต่ละช่วงงาน โดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 ซึ่งแจ้งตามหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนมาก ที่ นร 0202/ว 1 ลงวันที่ 3 มกราคม 2537 และหนังสือสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ว 7914 ลงวันที่ 22 กันยายน 2543 ให้กําหนดผลงานก่อสร้างได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของวงเงิน งบประมาณ หรือวงเงินประมาณการ หรือราคากลาง การกําหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาให้ต้องเป็น ผู้เสนอราคาที่มีประสบการณ์ในการทํางานภาครัฐในสัญญาเดียวที่มีมูลค่า 9,900,000 บาท ของผู้ฟ้องคดี จึงมีลักษณะเป็นการไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ดังนั้น การที่นายอําเภอ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) มีคําสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดียกเลิกและระงับการดําเนินการตามประกาศประกวดราคาจ้างที่พิพาท จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้รับรายงานจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แล้วพิจารณาเห็นชอบด้วยกับความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

โดยสรุป ในการพิจารณาจัดจ้างซ่อมผิวทางถนนจํานวน 9 ช่วง ขององค์การบริหารส่วนตําบล นอกจากจะต้องคํานึงถึงลักษณะและประเภทของงานก่อสร้างรวมถึงคุณสมบัติของผู้รับจ้างแล้ว ยังต้องคํานึงถึงสถานที่ตั้งของโครงการประกอบด้วย เมื่อสถานที่ ดําเนินการแต่ละแห่งล้วนมีที่ตั้งอยู่คนละจุดห่างไกลกัน คนละหมู่บ้าน และไม่เชื่อมต่อ โดยสภาพ ของโครงการจึงไม่อาจรวมว่าจ้างเป็นโครงการเดียวกันได้ การที่องค์การบริหารส่วนตําบลรวมการจัดจ้างเป็นโครงการเดียวกัน โดยคาดหมายเพื่อให้ได้ผู้รับจ้างรายใหญ่มาดําเนินการตามโครงการ ดังกล่าว อันเป็นการหลีกเลี่ยงผู้รับจ้างรายย่อยจากการคาดการณ์เองว่าจะไม่สามารถดําเนินงานก่อสร้างได้ตามความประสงค์ การดําเนินการดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม การที่นายอําเภอในฐานะผู้ใช้อํานาจกํากับดูแลออกคําสั่งให้องค์การบริหารส่วนตําบลยกเลิกและระงับการดําเนินการตามประกาศประกวดราคาจ้างเหมาซ่อมสร้างผิวทางที่พิพาท และผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบด้วยกับความเห็นดังกล่าว จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย

คําสําคัญ : การประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์,การกําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ เสนอราคา,การเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม,โครงการจ้างเหมาซ่อมผิวทาง,การใช้อํานาจกํากับดูแลองค์การบริหารส่วนตําบล,การรวมว่าจ้างเป็นโครงการเดียว

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.149/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=XE6OwYSKDRM


ตัดสิทธิไม่ให้เสนอราคา โดยไม่เป็นไปตามเอกสารประกวดราคา | เรื่องเด่น คดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

ตัดสิทธิไม่ให้เสนอราคา โดยไม่เป็นไปตามเอกสารประกวดราคา 

การพัสดุ : การตัดสิทธิไม่ให้เป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาจากการประกวดราคา

กรณีคณะกรรมการประกวดราคา (ผู้ถูกฟ้องคดี) ใช้ดุลพินิจตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่ให้เป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาตามประกาศประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โครงการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Waming) สําหรับพื้นที่เสี่ยง อุทกภัยดินถล่ม ในพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขา เนื่องจากเห็นว่าข้อเสนอด้านเทคนิคของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่เป็นไปตามเอกสารประกวดราคา โดยหนังสือรับรองเอกสารแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย ในประเทศไทยจากผู้ผลิตในต่างประเทศไม่ปรากฏเป็นปีปัจจุบัน และขาดเอกสารแต่งตั้งเป็นตัวแทนจําหน่ายในประเทศไทย คุณสมบัติของเสาอากาศไม่เป็นไปตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกําหนดไว้

เมื่อปรากฏว่าเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคาจ้างฯ ข้อ 1.12 ภาคผนวก ก ข้อ 5.3 กําหนดว่า สถานีเตือนภัยล่วงหน้า อุปกรณ์ตรวจวัดระยะไกล (Remote Terminal Unit) เครื่องมือตรวจวัดระยะไกลดังกล่าวต้องมีตัวแทนจําหน่ายในประเทศไทย (กรณีที่นําเข้าจากต่างประเทศ) พร้อมเอกสารแต่งตั้งเป็นตัวแทนจําหน่ายในประเทศไทยจากผู้ผลิตในต่างประเทศ สําหรับเครื่องมือที่ผลิตในประเทศต้องได้รับมาตรฐานรับรองจากผู้ผลิตพร้อมเอกสารรับรองคุณภาพตามเอกสาร เทียบเท่าจากโรงงานผู้ผลิตเป็นปีปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่า ข้อกําหนดดังกล่าวได้กําหนดไว้โดยชัดแจ้งว่าในกรณีนําเข้าอุปกรณ์ตรวจวัดระยะไกลจากต่างประเทศ อุปกรณ์ดังกล่าวต้องมีตัวแทนจําหน่ายในประเทศไทย ซึ่งผู้ประสงค์จะเสนอราคาต้องยื่นเอกสารแต่งตั้งเป็นตัวแทนจําหน่ายในประเทศไทย จากผู้ผลิตในต่างประเทศมาด้วย แต่ในกรณีที่อุปกรณ์ตรวจวัดระยะไกลนั้นผลิตในประเทศไทย อุปกรณ์ดังกล่าวต้องได้รับมาตรฐานรับรองจากผู้ผลิตซึ่งผู้ประสงค์จะเสนอราคาต้องยื่นเอกสารรับรองคุณภาพตามเอกสารเทียบเท่าจากโรงงานผู้ผลิตเป็นปีปัจจุบัน คําว่าปัจจุบัน จึงเป็นเงื่อนไข ในข้อกําหนดเกี่ยวกับเอกสารรับรองคุณภาพสําาหรับกรณีที่ผู้ประสงค์จะเสนอราคา เสนออุปกรณ์ตรวจวัดระยะไกลที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงผู้ประสงค์จะเสนอราคาที่ได้เสนออุปกรณ์ตรวจวัดระยะไกลที่นําเข้าจากต่างประเทศแต่อย่างใด ประกอบกับจากรายงาน การตรวจสอบสืบสวนของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินพบว่า การที่คณะกรรมการประกวดราคา กล่าวอ้างว่า คณะกรรมการกําหนดร่างขอบเขตของงาน (TOR) และร่างเอกสารประกวดราคาของผู้ถูกฟ้องคดีมีเจตนาที่จะให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาต้องได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจําหน่ายอุปกรณ์ ตรวจวัดระยะไกลจากบริษัทที่เป็นตัวแทนจําหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในประเทศไทยอีกต่อหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการซ่อมบํารุงอุปกรณ์ดังกล่าว เห็นได้ว่า ข้อกําหนดตามเอกสารแนบท้ายเอกสาร ประกวดราคาจ้างฯ ข้อ 5.3 มีความชัดเจนตามตัวอักษร ไม่ได้มีลักษณะเคลือบคลุมหรือตีความ ได้หลายนัย จึงไม่มีความจําเป็นต้องมีการตีความ อีกทั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้นําร่างเกี่ยวกับข้อกําหนด ดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ของผู้ถูกฟ้องคดีและกรมบัญชีกลาง และในการประกวดราคาก็ไม่ได้ชี้แจง หรืออธิบายเรื่องดังกล่าวแก่ผู้ซื้อซองประกวดราคา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างเจตนาภายในมาตีความ ให้แตกต่างจากความหมายตามตัวอักษรของข้อกําหนดได้ เนื่องจากบุคคลภายนอกไม่อาจทราบถึง เจตนาที่ซ่อนเร้นของผู้ถูกฟ้องคดี ดังนั้น การที่คณะกรรมการประกวดราคาของผู้ถูกฟ้องคดี ใช้ดุลพินิจตัดสิทธิไม่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผ่านเงื่อนไขตามข้อกําหนดในกรณีนี้ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจ ที่ขัดต่อเอกสารประกวดราคาจ้าง

ส่วนกรณีข้อกําหนดของเสาอากาศที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เสนอเป็น 4 dBi ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาของผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่า ต่ำกว่าที่กําหนด นั้น เมื่อตามเอกสารแนบท้ายเอกสาร ประกวดราคาจ้างฯ ข้อ 1.12 ภาคผนวก ก ข้อ 5.4 กําหนดว่า โครงข่ายการสื่อสาร ต้องเป็น ระบบสื่อสารที่เหมาะสมสําหรับในแต่ละพื้นที่เสี่ยงภัยที่จะทําการติดตั้ง เช่น วิทยุสื่อสาร Cellular Mobile Phone 2G หรือ 3G หรือ SATELLITE หรือระบบอื่น ๆ ที่เหมาะสม หากมีการเสนอ ใช้ระบบใดระบบหนึ่ง ต้องมีรายละเอียด ดังนี้ ข้อ 5.4.1 ระบบวิทยุสื่อสาร ข้อย่อย 5 ข้อกําหนด ของเสาอากาศ (Antenna) กําหนดให้เป็นแบบใดแบบหนึ่งที่เหมาะสมกับการใช้งาน Directional (YAGI)หรือ OMNI หรือแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ค่าทวีกําลังเสาอากาศ 12 dBi หรือดีกว่า ข้อ 5.4.2 อุปกรณ์ Modem เป็นอุปกรณ์ที่สามารถรองรับการสื่อสารได้โดยมีคุณสมบัติ ดังนี้ (1) ต้องมีสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ติดตั้งโครงการระบบเตือนภัยและสามารถใช้งานในการรับ-ส่ง ข้อมูลได้ (2) รองรับ GPRS/GSM (3) รองรับ W-CDMA/HSDPA (4) รองรับ AT Command (5) มีไฟแสดงสถานะการทํางาน (6) รองรับการทํางานที่อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียสได้ ข้อ 5.4.3 ระบบสายไฟเบอร์ออปติก (Fiber Optic) ข้อ 5.4.4 ระบบสื่อสารอื่น ๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากข้อกําหนด ดังกล่าว เห็นได้ว่าการกําหนดคุณลักษณะของโครงข่ายการสื่อสารแต่ละระบบเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาสามารถเลือกเสนอระบบสื่อสารที่เหมาะสม ซึ่งแต่ละระบบจะมีคุณลักษณะ ที่กําหนดไว้แตกต่างกัน กล่าวคือ หากผู้ประสงค์จะเสนอราคาเสนอระบบวิทยุสื่อสาร ตามข้อ 5.4.1 ผู้ประสงค์จะเสนอราคาจะต้องเสนอรายละเอียดคุณสมบัติหรือลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ตามที่ กําหนดในข้อดังกล่าว โดยเฉพาะข้อกําหนดของเสาอากาศ (Antenna) ซึ่งกําหนดไว้ในข้อย่อย 5 กําหนดให้เป็นแบบใดแบบหนึ่งที่เหมาะสมกับการใช้งาน Directional (YAGI) หรือ OMNI หรือแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ค่าทวีกําลังเสาอากาศ 12 dBi หรือดีกว่า… แต่หากผู้ประสงค์จะเสนอราคา เสนอระบบอุปกรณ์ Modem ตามข้อ 5.4.2 ผู้ประสงค์จะเสนอราคาจะต้องเสนอรายละเอียดคุณสมบัติ หรือลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ตามที่กําหนดในข้อดังกล่าว ซึ่งไม่ปรากฏข้อกําหนดของเสาอากาศ แต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 นําเสนอระบบสื่อสารแบบ 3G อุปกรณ์ Modem ยี่ห้อ Maestro รุ่น M100 3G โดยได้เสนอเพิ่มเสาอากาศ Antenna ขนาด 9 dBi เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของสัญญาณเท่านั้น การเสนอระบบอุปกรณ์ Modem ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงมีรายละเอียด คุณสมบัติหรือลักษณะเฉพาะตรงตามเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคาจ้างฯ ข้อ 1.12 ภาคผนวก ก ข้อ 5.4.2 แล้ว ประกอบกับสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบพบว่า ผู้ถูกฟ้องคดี มิได้นําร่างเกี่ยวกับข้อกําหนดดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ของหน่วยงานและกรมบัญชีกลาง และผู้ถูกฟ้องคดีก็มิได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวแก่ผู้ซื้อซองประกวดราคาเช่นเดียวกับกรณีหนังสือแต่งตั้งตัวแทนจําหน่าย ดังนั้น การที่คณะกรรมการประกวดราคาของผู้ถูกฟ้องคดีนําข้อกําหนด ของเสาอากาศ ข้อ 5.4.1 ระบบวิทยุสื่อสาร ข้อย่อย 5 มาพิจารณาตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็น การพิจารณาที่ขัดต่อเอกสารประกวดราคาจ้าง

โดยสรุป เมื่อข้อกําหนดตามเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคามีความชัดเจนตามตัวอักษรไม่ได้มีลักษณะเคลือบคลุมหรือตีความได้หลายนัย จึงไม่มีความจําเป็นต้องตีความ ประกอบกับหน่วยงานของรัฐผู้จัดให้มีการประกวดราคาก็ไม่ได้นําร่างข้อกําหนดดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ของหน่วยงานและกรมบัญชีกลางตามที่ระเบียบว่าด้วยการพัสดุกําหนด อีกทั้งในการประกวดราคาก็ไม่ได้ชี้แจงหรืออธิบายการตีความเรื่องดังกล่าวแก่ผู้มาซื้อซองประกวดราคา หน่วยงานของรัฐจึงไม่อาจอ้างเจตนาภายในมาตีความให้แตกต่างจากความหมายตามตัวอักษรของข้อกําหนดดังกล่าวได้ เนื่องจากบุคคลภายนอกย่อมไม่อาจทราบถึงเจตนาที่ซ่อนเร้นของหน่วยงานของรัฐ การที่คณะกรรมการประกวดราคาใช้ดุลพินิจตัดสิทธิไม่ให้ผู้ฟ้องคดีผ่านเงื่อนไขตามข้อกําหนดในกรณีนี้ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ขัดต่อเอกสารประกวดราคา

คําสําคัญ : การจัดซื้อจัดจ้าง/วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์/การเผยแพร่แบบรูปรายการและคุณลักษณะเฉพาะ/ข้อกําหนดขอบเขตของงาน TOR ประกาศประกวดราคา/เอื้อประโยชน์/ล็อคสเปค/ การกระทําความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ/ฮั้ว

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.1061-1062/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=baKkiFZM7vw


พระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตําบลหนองงูเหลือม อําเภอเฉลิมพระเกียรติ และตําบลโตนด ตําบลใหม่ อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2567

พระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตําบลหนองงูเหลือม อําเภอเฉลิมพระเกียรติ และตําบลโตนด ตําบลใหม่ อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2567

ทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีเวนคืน ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเวนคืน โทร. 063-6364547

act-140

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีความจําเป็นต้องสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านบึงขามทะเลสอ – บ้านหนองบัวศาลา บริเวณจุดตัดระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 290 ในท้องที่ตําบลหนองงูเหลือม อําเภอเฉลิมพระเกียรติ และตําบลโตนด ตําบลใหม่ อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา เพื่ออํานวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการ สาธารณูปโภค และเพื่อนําที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน สมควรกําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ดังกล่าว เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทําการสํารวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด จึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ท่าตะโก – สามโคก (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ท่าตะโก – สามโคก (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า ปรึกษาคดี โทร. 063-6364547

erc-53

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
โทร. 063-6364547

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ บางสะพาน 2 – สุราษฎร์ธานี 2 วงจรที่ 3 และวงจรที่ 4 (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ บางสะพาน 2 – สุราษฎร์ธานี 2 วงจรที่ 3 และวงจรที่ 4 (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า ปรึกษาคดี โทร. 063-6364547

erc-52

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
โทร. 063-6364547

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ บางละมุง 2 – ปลวกแดง (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ บางละมุง 2 – ปลวกแดง (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า ปรึกษาคดี โทร. 063-6364547

erc-51

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
โทร. 063-6364547