คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต
การควบคุมอาคารและการผังเมือง : คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (มาตรา 31 มาตรา 39 ทวิ มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42)
- กฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 1 และข้อ 2)
- ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 74 วรรคหนึ่ง)
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาทซึ่งเป็นตึก 8 ชั้น จำนวน 1 หลัง เพื่อใช้เป็นอาคารพักอาศัย พื้นที่รวม 5,043 ตารางเมตร ต่อมา นาย ส. เจ้าของอาคารที่อยู่ข้างเคียงอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการเขตจตุจักร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) เพื่อขอให้ตรวจสอบอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีว่าก่อสร้างถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่า ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 รายการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคารพิพาทจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารพิพาทตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 รวมทั้งได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น เห็นว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งดังกล่าวให้ถูกต้อง จึงมีคำสั่งลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทบางส่วน จำนวน 4 รายการ ได้แก่ รายการข้อ 1 ตามแบบ ระดับพื้นอาคารชั้นล่าง ± 0.00 เมตร แต่ก่อสร้างสูงประมาณ 1.20 เมตร รายการข้อ 2 มิได้ทำการก่อสร้างบันไดที่ตำแหน่ง 3 C และ 5 C รายการข้อ 3 บริเวณด้านทิศตะวันออก ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 4 ได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องเพื่อใช้สอย และรายการข้อ 4 กั้นผนังอาคารชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม
กรณีตามรายการข้อ 1 นั้น โดยที่ข้อ 1 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดว่า “อาคารสูง” หมายความว่า อาคารที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือเข้าใช้สอยได้โดยมีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้า และข้อ 2 วรรคหนึ่งของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน กำหนดว่า ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดินนั้นยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร การที่ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างพื้นอาคารชั้นล่างจาก ± 0.00 เมตร เป็น ± 1.20 เมตร และได้ก่อสร้างโครงเหล็กหลังคามุงกระเบื้องปกคลุมพื้นที่ชั้นดาดฟ้าและกั้นผนังโดยรอบเป็นชั้นที่ 9 ทำให้ความสูงของอาคารพิพาทเพิ่มขึ้นเป็น 25.08 เมตร ย่อมถือว่าเป็นอาคารสูงตามข้อ 1 ของกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนั้น เมื่อบริเวณด้านหน้าอาคารพิพาทติดกับถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างเพียง 5 เมตร จึงไม่สามารถก่อสร้างอาคารสูงในที่ดินดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อข้อ 2 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการแก้ไขอาคารพิพาทมิให้เข้าลักษณะเป็นอาคารสูงตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว
สำหรับกรณีตามรายการข้อ 3 นั้น โดยที่ข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาท กำหนดว่า อาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินเอกชน ให้ผนังด้านที่มีหน้าต่าง ประตู หรือช่องระบายอากาศ อยู่ห่างจากเขตที่ดินได้ สำหรับชั้นสองลงมาระยะไม่น้อยกว่า 2 เมตร สำหรับชั้นสามขึ้นไประยะไม่น้อยกว่า 3 เมตร และวรรคสอง กำหนดว่า สำหรับอาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน ริมระเบียงต้องห่างจากเขตที่ดินตามวรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริเวณด้านทิศตะวันออกของอาคารพิพาท ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 4 ผู้ฟ้องคดีได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องใช้สอย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารพิพาทใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ขออนุญาตก่อสร้างเป็นกันสาดได้ จึงมีลักษณะเป็นระเบียงของอาคาร ทำให้ระเบียงมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินเอกชนเพียง 1.15 เมตร อันเป็นการขัดต่อข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารส่วนข้างต้นให้เป็นกันสาดตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต
ส่วนกรณีตามรายการข้อ 4 ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำการกั้นผนังอาคารพิพาทชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตบริเวณอาคารชั้นล่างจะต้องเป็นพื้นที่เปิดโล่ง การกระทำของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้
เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกรณีที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทยื่นคำขออนุญาตหรือดำเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งข้างต้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารและผู้ครอบครองอาคารพิพาทรื้อถอนอาคารบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ที่ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทตามรายการข้างต้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า อาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ถูกฟ้องคดีไม่เคยออกคำสั่งใด ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารพิพาท นั้น โดยที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้
โดยสรุป พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้
คำสำคัญ: ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต/เจ้าพนักงานท้องถิ่น/คำสั่งให้รื้อถอนอาคาร/อาคารสูง/อาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน/การก่อสร้างอาคารสูง
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 427/2566
ที่มา : สสค.
———————————————
ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw
สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง