คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ออกโดยไม่มีอำนาจ

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ออกโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีผลบังคับให้เจ้าหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ

ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ : คำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีรังวัดที่ดินไม่ถูกต้อง ทำให้ ส.ป.ก. ได้รับความเสียหายจากการถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 420 และมาตรา 448 วรรคหนึ่ง)
  2. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (มาตรา 8 วรรคหนึ่ง มาตรา 10 วรรคสอง และมาตรา 12)

คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า : ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกรมที่ดินและสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสืรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ มีความเห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ทำการรังวัดตรวจสอบที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ ส.ป.ก. ผู้ซื้อที่ดินได้รับความเสียหาย และได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบว่าผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ทราบจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อมา คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามความเห็นของกระทรวงการคลังและรายงานค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้เป็นเงินจำนวน 4,045,034 บาท ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้เห็นชอบกับรายงานดังกล่าวเมื่อใด แต่เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง กรณีจึงถือว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 เป็นวันอย่างช้าที่สุดที่ผู้ถูกฟ้องคดีรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งหน่วยงานจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันดังกล่าว ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 แต่เนื่องจากในเรื่องนี้กรมที่ดินและ ส.ป.ก. ได้มอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ เท่านั้น ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ 16 มิถุนายน 2552 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีผลเป็นการบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ และแม้ต่อมาเลขาธิการ ส.ป.ก. จะได้มีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติราชการแทนในการออกคำสั่งเรียกเงินหรือรับเงินค่าสินไหมทดแทน และผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งมีหนังสือลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 แจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แต่เมื่อกรณีนี้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุดในวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 10 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ แล้ว

ประกอบกับในกรณีนี้ อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 เพิกถอนหรือแก้ไขแผนที่และเนื้อที่ใน น.ส. 3 ก. แปลงพิพาท และได้แจ้งคำสั่งให้ ส.ป.ก. ทราบ จึงต้องถือว่าวันที่ ส.ป.ก. ได้รับความเสียหาย คือวันที่ ส.ป.ก. ได้รับแจ้งคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งแม้ไม่ปรากฏว่า ส.ป.ก. ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวในวันใด แต่เมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ลงนามในคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขแผนที่และเนื้อที่เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความสิบปีนับแต่วันทำละเมิดตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น คำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งไม่อาจนำอายุความทางอาญามาบังคับใช้กับการใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของผู้ฟ้องคดีในคดีนี้ได้ เนื่องจากไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญา กับผู้ฟ้องคดีหรือได้มีคำพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

โดยสรุป เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับมอบอำนาจจากกรมที่ดิน และ ส.ป.ก. ให้มีอำนาจเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีผลบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ แม้ต่อมาเลขาธิการ ส.ป.ก. จะมีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติราชการแทนในการออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วก็ตาม แต่เมื่อกรณีนี้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้พึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีออกคำสั่งเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันดังกล่าว จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นอายุความตามมาตรา 10 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

คำสำคัญ: คำสั่งให้ชดใช้เงิน/ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ/รังวัดที่ดิน/ส.ป.ก./ออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ/อายุความการใช้สิทธิเรียกร้อง/อายุความสองปี/อายุความสิบปี/อายุความทางอาญา

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 753/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง