ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ ชลบุรี 2 – บ่อวิน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ ชลบุรี 2 – บ่อวิน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

erc-54

สาระสำคัญของประกาศ

  • เรื่อง: การกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ ชลบุรี 2 – บ่อวิน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

  • การยกเลิกแนวเขตเดิม: ประกาศนี้ได้ยกเลิกแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าตามแผนผังเดิม

  • การกำหนดแนวเขตใหม่: กำหนดให้พื้นที่ตามแนวปรับแก้ใหม่เป็นเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า มีระยะทางประมาณ 1.78 กิโลเมตร พาดผ่านตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

  • ความกว้างของเขต: เขตระบบโครงข่ายไฟฟ้ามีความกว้าง 40.00 เมตร โดยวัดจากแนวศูนย์กลางของเสาสายส่งไฟฟ้าออกไปด้านละ 20.00 เมตร

  • การจ่ายค่าทดแทน: กกพ. จะพิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าทดแทนให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • สิทธิในการอุทธรณ์: เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. ได้ภายใน 30 วัน หากไม่เห็นด้วยกับจำนวนค่าทดแทนหรือการดำเนินการของ กฟผ.

  • กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การประกาศนี้ไม่มีผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของ แต่เจ้าของต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น ห้ามปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่อาจทำให้เกิดอันตรายในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • วันที่ประกาศ: ประกาศ ณ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
โทร. 063-6364547

คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ออกโดยไม่มีอำนาจ

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ออกโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีผลบังคับให้เจ้าหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ

ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ : คำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีรังวัดที่ดินไม่ถูกต้อง ทำให้ ส.ป.ก. ได้รับความเสียหายจากการถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 420 และมาตรา 448 วรรคหนึ่ง)
  2. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (มาตรา 8 วรรคหนึ่ง มาตรา 10 วรรคสอง และมาตรา 12)

คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า : ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกรมที่ดินและสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสืรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ มีความเห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ทำการรังวัดตรวจสอบที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ ส.ป.ก. ผู้ซื้อที่ดินได้รับความเสียหาย และได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบว่าผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ทราบจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อมา คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามความเห็นของกระทรวงการคลังและรายงานค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้เป็นเงินจำนวน 4,045,034 บาท ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้เห็นชอบกับรายงานดังกล่าวเมื่อใด แต่เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง กรณีจึงถือว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 เป็นวันอย่างช้าที่สุดที่ผู้ถูกฟ้องคดีรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งหน่วยงานจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันดังกล่าว ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 แต่เนื่องจากในเรื่องนี้กรมที่ดินและ ส.ป.ก. ได้มอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ เท่านั้น ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ 16 มิถุนายน 2552 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีผลเป็นการบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ และแม้ต่อมาเลขาธิการ ส.ป.ก. จะได้มีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติราชการแทนในการออกคำสั่งเรียกเงินหรือรับเงินค่าสินไหมทดแทน และผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งมีหนังสือลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 แจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แต่เมื่อกรณีนี้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุดในวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 10 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ แล้ว

ประกอบกับในกรณีนี้ อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 เพิกถอนหรือแก้ไขแผนที่และเนื้อที่ใน น.ส. 3 ก. แปลงพิพาท และได้แจ้งคำสั่งให้ ส.ป.ก. ทราบ จึงต้องถือว่าวันที่ ส.ป.ก. ได้รับความเสียหาย คือวันที่ ส.ป.ก. ได้รับแจ้งคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งแม้ไม่ปรากฏว่า ส.ป.ก. ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวในวันใด แต่เมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ลงนามในคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขแผนที่และเนื้อที่เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความสิบปีนับแต่วันทำละเมิดตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น คำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งไม่อาจนำอายุความทางอาญามาบังคับใช้กับการใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของผู้ฟ้องคดีในคดีนี้ได้ เนื่องจากไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญา กับผู้ฟ้องคดีหรือได้มีคำพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

โดยสรุป เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับมอบอำนาจจากกรมที่ดิน และ ส.ป.ก. ให้มีอำนาจเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีผลบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ แม้ต่อมาเลขาธิการ ส.ป.ก. จะมีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติราชการแทนในการออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วก็ตาม แต่เมื่อกรณีนี้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้พึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีออกคำสั่งเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันดังกล่าว จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นอายุความตามมาตรา 10 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

คำสำคัญ: คำสั่งให้ชดใช้เงิน/ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ/รังวัดที่ดิน/ส.ป.ก./ออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ/อายุความการใช้สิทธิเรียกร้อง/อายุความสองปี/อายุความสิบปี/อายุความทางอาญา

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 753/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

การควบคุมอาคารและการผังเมือง : คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (มาตรา 31 มาตรา 39 ทวิ มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42)
  2. กฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 1 และข้อ 2)
  3. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 74 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาทซึ่งเป็นตึก 8 ชั้น จำนวน 1 หลัง เพื่อใช้เป็นอาคารพักอาศัย พื้นที่รวม 5,043 ตารางเมตร ต่อมา นาย ส. เจ้าของอาคารที่อยู่ข้างเคียงอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการเขตจตุจักร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) เพื่อขอให้ตรวจสอบอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีว่าก่อสร้างถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่า ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 รายการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคารพิพาทจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารพิพาทตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 รวมทั้งได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น เห็นว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งดังกล่าวให้ถูกต้อง จึงมีคำสั่งลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทบางส่วน จำนวน 4 รายการ ได้แก่ รายการข้อ 1 ตามแบบ ระดับพื้นอาคารชั้นล่าง ± 0.00 เมตร แต่ก่อสร้างสูงประมาณ 1.20 เมตร รายการข้อ 2 มิได้ทำการก่อสร้างบันไดที่ตำแหน่ง 3 C และ 5 C รายการข้อ 3 บริเวณด้านทิศตะวันออก ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 4 ได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องเพื่อใช้สอย และรายการข้อ 4 กั้นผนังอาคารชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม

กรณีตามรายการข้อ 1 นั้น โดยที่ข้อ 1 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดว่า “อาคารสูง” หมายความว่า อาคารที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือเข้าใช้สอยได้โดยมีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้า และข้อ 2 วรรคหนึ่งของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน กำหนดว่า ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดินนั้นยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร การที่ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างพื้นอาคารชั้นล่างจาก ± 0.00 เมตร เป็น ± 1.20 เมตร และได้ก่อสร้างโครงเหล็กหลังคามุงกระเบื้องปกคลุมพื้นที่ชั้นดาดฟ้าและกั้นผนังโดยรอบเป็นชั้นที่ 9 ทำให้ความสูงของอาคารพิพาทเพิ่มขึ้นเป็น 25.08 เมตร ย่อมถือว่าเป็นอาคารสูงตามข้อ 1 ของกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนั้น เมื่อบริเวณด้านหน้าอาคารพิพาทติดกับถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างเพียง 5 เมตร จึงไม่สามารถก่อสร้างอาคารสูงในที่ดินดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อข้อ 2 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการแก้ไขอาคารพิพาทมิให้เข้าลักษณะเป็นอาคารสูงตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว

สำหรับกรณีตามรายการข้อ 3 นั้น โดยที่ข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาท กำหนดว่า อาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินเอกชน ให้ผนังด้านที่มีหน้าต่าง ประตู หรือช่องระบายอากาศ อยู่ห่างจากเขตที่ดินได้ สำหรับชั้นสองลงมาระยะไม่น้อยกว่า 2 เมตร สำหรับชั้นสามขึ้นไประยะไม่น้อยกว่า 3 เมตร และวรรคสอง กำหนดว่า สำหรับอาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน ริมระเบียงต้องห่างจากเขตที่ดินตามวรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริเวณด้านทิศตะวันออกของอาคารพิพาท ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 4 ผู้ฟ้องคดีได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องใช้สอย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารพิพาทใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ขออนุญาตก่อสร้างเป็นกันสาดได้ จึงมีลักษณะเป็นระเบียงของอาคาร ทำให้ระเบียงมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินเอกชนเพียง 1.15 เมตร อันเป็นการขัดต่อข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารส่วนข้างต้นให้เป็นกันสาดตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

ส่วนกรณีตามรายการข้อ 4 ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำการกั้นผนังอาคารพิพาทชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตบริเวณอาคารชั้นล่างจะต้องเป็นพื้นที่เปิดโล่ง การกระทำของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้

เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกรณีที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทยื่นคำขออนุญาตหรือดำเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งข้างต้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารและผู้ครอบครองอาคารพิพาทรื้อถอนอาคารบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ที่ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทตามรายการข้างต้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า อาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ถูกฟ้องคดีไม่เคยออกคำสั่งใด ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารพิพาท นั้น โดยที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้

โดยสรุป พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้ 

คำสำคัญ: ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต/เจ้าพนักงานท้องถิ่น/คำสั่งให้รื้อถอนอาคาร/อาคารสูง/อาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน/การก่อสร้างอาคารสูง

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 427/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=QozgvbTguEs


การขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

การขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

ความรับผิดอย่างอื่น : ขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 (มาตรา 28 มาตรา 29 มาตรา 30 และมาตรา 30 ทวิ วรรคสาม)

คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี โดยที่ดินดังกล่าวบางส่วนอยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ อยุธยา 4-สีคิ้ว 2 จำนวน 3 ไร่ 23.2 ตารางวา คณะกรรมการพิจารณาราคาที่ดินและทรัพย์สินจังหวัดสระบุรีมีมติให้นำราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมปี พ.ศ. 2555 ถึง พ.ศ. 2558 มาเป็นฐานราคาที่ดิน และปรับเพิ่มอีกร้อยละ 20 เพื่อให้เป็นราคาประเมินทุนทรัพย์ที่จะมีการปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. 2559 แล้วนำมาปรับเพิ่มอีกในอัตรา 3 เท่า ทุกหน่วยราคา เป็นเกณฑ์กำหนดถือจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่ในโซน 03 บล็อก เอ หน่วยที่ ที่ดินไม่ติดถนน ซอย ทาง มีราคาค่าทดแทน ไร่ละ 150,000 บาท กำหนดจ่ายร้อยละ 90 จึงกำหนดค่าทดแทนเป็นเงิน 412,830 บาท ต่อมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 มีนาคม 2559 แจ้งจำนวนเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินดังกล่าว จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ขอค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยืนราคาเดิมและได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพิ่มให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงิน 4,321,170 บาท

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ค่าทดแทนฯ ที่แต่งตั้งโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รับฟังได้ว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ และด้านทิศใต้ติดเหมืองสาธารณประโยชน์ กรณีจึงต้องถือว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง อย่างไรก็ดี แม้ว่าที่ดินแปลงพิพาทจะเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณารูปแปลงที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองประกอบหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีมติตามรายงานการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ครั้งที่ 56/2558 (ครั้งที่ 366) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ที่กำหนดไว้ว่า หน่วยที่ 7 ที่ดินติดถนน ซอย ทาง ระยะ 40 เมตร และหน่วยที่ 8 ที่ดินนอกเหนือจากหน่วยที่ 1-7 แล้วเห็นว่า ในการกำหนดหลักเกณฑ์ในหน่วยที่ ที่กำหนดว่า ที่ดินนอกเหนือจากหน่วยที่ 1-7 นั้น ย่อมมีความหมายรวมถึงที่ดินที่ติดถนน ซอย ทาง แต่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านพ้นระยะ 40 เมตร จากถนน ซอย ทาง ด้วย มิได้มีความหมายแต่เพียงว่าเป็นที่ดินที่ไม่ติดถนน ซอย ทาง แต่เพียงอย่างเดียว เมื่อปรากฏว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ สภาพการทำประโยชน์เป็นที่นา ที่ดินบริเวณที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านอยู่ลึกเข้าไปพ้นระยะ 40 เมตร จากถนนด้านทิศเหนือของแปลงที่ดิน แม้จะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดไว้ในหน่วยที่ 7 ว่าจะต้องเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง และถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านในระยะ 40 เมตร จากถนน ซอย ทาง ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ และด้านทิศใต้ติดเหมืองสาธารณประโยชน์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาระวางแผนที่ ยูทีเอ็ม ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จัดทำขึ้น จะเห็นได้ว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองบริเวณที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านเริ่มจากด้านทิศใต้ของแปลงที่ดินที่ติดกับเหมืองสาธารณประโยชน์ในระยะ 40 เมตร จากเหมืองสาธารณประโยชน์ และเยื้องไปทางด้านทิศเหนือของแปลงที่ดิน เมื่อพิจารณาถึงรูปแผนที่ที่ดินและสภาพทำเลที่ตั้งของที่ดินแล้วเห็นว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีทำเลและที่ตั้งดีกว่าที่ดินที่ไม่มีทางออกหรือไม่ติดถนน ซอย ทาง ซึ่งอยู่ในหน่วยที่ 4 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กำหนดราคาค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินไร่ละ 150,000 บาท ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหน่วยที่ 8 เช่นเดียวกับที่ดินที่ไม่มีทางออกหรือไม่ติดถนน ซอย ทาง จึงยังไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นควรกำหนดค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเพิ่มขึ้นในราคาที่ลดหลั่นจากราคาประเมินในหน่วยที่ 7 โดยกำหนดค่าทดแทนให้ในราคาไร่ละ 170,000 บาท เมื่อที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา อยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าเนื้อที่ 3 ไร่ 23.2 ตารางวา กำหนดราคาค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้ในราคาไร่ละ 170,000 บาท กำหนดจ่ายค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนด คิดเป็นไร่ละ 153,000 บาท ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นเงินจำนวน 467,874 บาท แต่เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินไปฝากให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองในนามของเจ้ามรดกไว้แล้วที่ธนาคารกรุงไทย สาขาบางกรวย เป็นเงิน 412,830 บาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพิ่มให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 55,044 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนับแต่วันที่ต้องมีการฝากเงินค่าทดแทนตามมาตรา 30 ทวิ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535 แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีคำขอในส่วนของดอกเบี้ย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้

สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอุทธรณ์ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าเสียประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งแปลง เป็นเงิน 9,500,000 บาท นั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าและเดินสายส่งไฟฟ้าผ่านที่ดินของบุคคลเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 28 และมาตรา 29 โดยกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้าตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เพียงแต่เป็นการจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินบางประการ ส่วนที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองบริเวณที่อยู่นอกเขตเดินสายไฟฟ้าไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้เป็นกรณีของการเวนคืนที่ดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดให้เจ้าของที่ดินอาจร้องขอให้เวนคืนที่ดินหรือซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ ดังนั้น เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดให้อำนาจแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไว้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองแต่อย่างใด

โดยสรุป กรณีที่มีการประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าและเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของบุคคล กฎหมายกำหนดให้รัฐต้องจ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้าเท่านั้น กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เพียงแต่เป็นการจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินบางประการ ส่วนที่ดินบริเวณที่อยู่นอกเขตเดินสายไฟฟ้าไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินค่าทดแทนดังกล่าวไม่ได้เป็นกรณีของการเวนคืนที่ดินซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดให้เจ้าของที่ดินอาจร้องขอให้เวนคืนที่ดินหรือซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ หน่วยงานของรัฐจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาททั้งแปลงแต่อย่างใด

คําสําคัญ : ความรับผิดอย่างอื่น/การรอนสิทธิ/การกำหนดเขตโครงข่ายไฟฟ้า/ค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน/สภาพทำเลที่ตั้งของที่ดิน/จำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อผ. 235/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=7DqE2mp3FS8


ระยะเวลาการฟ้องคดีความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

ระยะเวลาการฟ้องคดีความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

ละเมิดต่อบุคคลภายนอก : ละเมิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ได้รับความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1336)
  2. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 51)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดที่ดินข้างเคียงที่ดินของผู้ฟ้องคดี และมีการย้ายหลักเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินย้ายหลักเขตไว้ตำแหน่งเดิมและยกเลิกการรังวัดที่ดินดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและได้ซึ่งดอกผลแห่งที่ดินดังกล่าว กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งที่ดินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้การรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงข้างเคียงยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และเจ้าพนักงานที่ดินยังมิได้ใช้อำนาจสั่งแก้ไขรูปแผนที่หรือเนื้อที่ในโฉนดที่ดิน แต่หากมีการย้ายหลักเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลเป็นการสอดเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยปกติสุข อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี และตราบใดที่ยังไม่มีการย้ายหลักเขตที่ได้มีการปักโดยมิชอบออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีอันจะเป็นเหตุให้การกระทำละเมิดนั้นยุติลง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่ต่อเนื่องตลอดมา การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองชั้นต้น จึงเป็นการยื่นฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

โดยสรุป เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและได้ซึ่งดอกผลแห่งที่ดินดังกล่าว กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งที่ดินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงข้างเคียงและมีการย้ายหลักเขตเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลเป็นการสอดเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินโดยปกติสุข อันเป็นการกระทำละเมิด ตราบใดที่ยังไม่มีการย้ายหลักเขตที่ได้มีการปักโดยมิชอบออกจากที่ดินอันจะเป็นเหตุให้การกระทำละเมิดนั้นยุติลง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่ต่อเนื่องตลอดมา เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ย้ายหลักเขตไว้ตำแหน่งเดิมและยกเลิกการรังวัดที่ดินข้างเคียง กรณีจึงเป็นการฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดี

คําสําคัญ : ละเมิดจากการใช้อำนาจ,ย้ายหลักเขตที่ดิน,ละเมิดต่อเนื่อง,ระยะเวลาการฟ้องคดีปกครอง

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1125/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=akZbM-ZbsUI