การฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย ตามมติ ป.ป.ช.

การฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย ตามมติ ป.ป.ช.

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

• พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (มาตรา 101 วรรคหนึ่ง)
• พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 42 วรรคสอง)
• ประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ พ.ศ. 2558 (ข้อ 5 และข้อ 9)
 

เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐถูกคำสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงตามการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ผู้ที่ได้รับคำสั่งย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้น แต่คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ผู้ได้รับคำสั่งดังกล่าวจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้มีอำนาจก่อนนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองหรือไม่? หรือสามารถฟ้องตรงต่อศาลได้ทันที บทความนี้จะไขข้อข้องใจพร้อมคำตอบจากศาลปกครองสูงสุด

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ คำสั่งนี้ออกโดยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น โดยอาศัยมติของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลที่ให้ลงโทษตามการชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เหตุแห่งการลงโทษคือการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ ซึ่งถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อราชการ เจ้าหน้าที่รายนี้ไม่เห็นด้วยกับการออกคำสั่งดังกล่าว โดยเห็นว่าไม่ชอบด้วยระเบียบและข้อบังคับหลายประการ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ รวมถึงเพิกถอนมติที่เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย
 
ในชั้นศาลปกครองชั้นต้น ศาลเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไล่ออกจากราชการต่อคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลตามขั้นตอนที่กฎหมายและระเบียบกำหนดไว้ก่อน ซึ่งระบุให้พนักงานส่วนตำบลที่ถูกสั่งลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำสั่ง ด้วยเหตุนี้ ศาลชั้นต้นจึงวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดียังไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งต่อศาลปกครอง
 
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาประเด็นนี้ใหม่ โดยอ้างอิงถึงบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 101 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่ถูกลงโทษมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายใน 90 วันนับแต่วันที่ถูกลงโทษ โดยไม่จำต้องอุทธรณ์ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้นั้นก่อนก็ได้ หรือจะเลือกอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ก่อนก็ได้
 
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษ แต่เลือกที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองโดยโต้แย้งว่าคำสั่งลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีประสงค์จะใช้สิทธิในการฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษโดยตรง และเมื่อคำสั่งลงโทษออกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องในวันที่ 8 มีนาคม 2566 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลา 90 วันนับแต่วันที่ถูกลงโทษ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอำนาจรับคำฟ้องในส่วนนี้ไว้พิจารณาได้
 
สำหรับคำขอที่ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลและคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า มติเหล่านี้เป็นเพียงขั้นตอนการดำเนินการหรือการเตรียมการเพื่อให้เกิดคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ ซึ่งเป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองเท่านั้น และไม่ใช่คำสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุนี้ ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษากลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น และให้รับคำฟ้องในส่วนที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการไว้พิจารณา
 
โดยสรุป การฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษพนักงานส่วนท้องถิ่นที่เกิดจากมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากผู้ถูกลงโทษประสงค์จะฟ้องเพิกถอนคำสั่งทั้งหมดโดยเห็นว่าคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งลงโทษ โดยไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ตามระเบียบการบริหารงานบุคคลก่อน แต่หากผู้ถูกลงโทษยอมรับว่ากระทำความผิดแต่ต้องการอุทธรณ์เฉพาะดุลพินิจในการกำหนดโทษ (เช่น ขอให้ลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออก) กรณีนี้ยังคงต้องยื่นอุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ก่อนนำคดีมาฟ้องศาลปกครอง ดังนั้น สิทธิในการฟ้องคดีจึงขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ถูกลงโทษ ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
 

คำสำคัญ: คดีปกครอง, คำสั่งลงโทษทางวินัย, ป.ป.ช., อุทธรณ์, ฟ้องเพิกถอน, ศาลปกครอง, การทุจริต, พนักงานส่วนท้องถิ่น, ไล่ออกจากราชการ, ดุลพินิจในการลงโทษ

คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1011/2566

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ บางละมุง 2 – จอมเทียน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ บางละมุง 2 – จอมเทียน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

erc-63

สรุปสาระสำคัญของประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ บางละมุง 2 – จอมเทียน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

  • เรื่อง: การกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ บางละมุง 2 – จอมเทียน (ช่วงปรับแก้ทิศทางและแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า)

  • การยกเลิกแนวเขตเดิม: ประกาศนี้ได้ยกเลิกแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าเดิม 2 ช่วง โดยมีระยะทางรวม 173.59 เมตร และ 3.73 กิโลเมตร ตามลำดับ

  • การกำหนดแนวเขตใหม่: มีการกำหนดแนวเขตใหม่ 2 ช่วงเช่นกัน โดยมีระยะทาง 178.64 เมตร และ 4.12 กิโลเมตร ตามลำดับ

  • ความกว้างของเขต: ทั้งแนวเขตเดิมและแนวเขตใหม่มีความกว้างเท่ากันที่ 40.00 เมตร (วัดจากแนวศูนย์กลางของเสาสายส่งไฟฟ้าออกไปด้านละ 20.00 เมตร)

  • พื้นที่พาดผ่าน: แนวเขตใหม่พาดผ่านพื้นที่ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง และตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

  • อำนาจของ กฟผ.: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีอำนาจในการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าบนที่ดินของรัฐหรือเอกชน, ปักเสา, หรือรื้อถอนอาคาร, สิ่งปลูกสร้าง, หรือต้นไม้ในเขตที่กำหนด

  • การจ่ายค่าทดแทน: คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะพิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าทดแทนให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินในเขตอย่างเป็นธรรม

  • สิทธิในการอุทธรณ์: เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. ได้ภายใน 30 วัน หากไม่เห็นด้วยกับจำนวนค่าทดแทนหรือการดำเนินการของ กฟผ.

  • กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การประกาศนี้ไม่มีผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของ แต่เจ้าของต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น ห้ามปลูกสร้างสิ่งที่จะก่อให้เกิดอันตรายในเขต

  • วันที่ประกาศ: ประกาศ ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติ ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ไปยังสถานีควบคุมความดันและวัดปริมาณก๊าซวังน้อย

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติ ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ไปยังสถานีควบคุมความดันและวัดปริมาณก๊าซวังน้อย

erc-62

สรุปสาระสำคัญของประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติ ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ไปยังสถานีควบคุมความดันและวัดปริมาณก๊าซวังน้อย

  • เรื่อง: ประกาศนี้กำหนดเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติสำหรับท่อส่งก๊าซจากท่อส่งบนบกเส้นที่ 5 ไปยังสถานีควบคุมความดันและวัดปริมาณก๊าซวังน้อย

  • วัตถุประสงค์: เพื่อเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของประเทศ

  • แนวเขต: พื้นที่แนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติ

  • ข้อมูลเส้นทาง:

    • เส้นทางเริ่มต้นจากจุดเชื่อมต่อท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ในพื้นที่ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ที่ตำบลวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    • สิ้นสุดที่แนวเขตสถานีควบคุมความดันและวัดปริมาณก๊าซวังน้อย (WNMR) ในพื้นที่ของ ปตท.

    • มีระยะทางประมาณ 56.00 เมตร

  • ความกว้างของเขต: เขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติมีความกว้าง 10.00 เมตร โดยวัดจากแนวศูนย์กลางของท่อออกไปด้านละ 5.00 เมตร

  • อำนาจของ ปตท.: ปตท. มีอำนาจในการวางระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติบน, ใต้, ตาม หรือข้ามระบบโครงข่ายพลังงานของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น, ที่ดินสาธารณะ, หรือพื้นดินของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ที่ตั้งโรงเรือน นอกจากนี้ยังสามารถรื้อถอนอาคาร, โรงเรือน, หรือตัดฟันต้นไม้และพืชผลในเขตที่กำหนด

  • การจ่ายค่าทดแทน: คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะพิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้กับเจ้าของทรัพย์สิน

  • สิทธิในการอุทธรณ์: เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. ได้ภายใน 30 วัน หากไม่เห็นด้วยกับจำนวนค่าทดแทนหรือการดำเนินการของ ปตท.

  • กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การประกาศนี้ไม่กระทบต่อกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินของเจ้าของเดิม แต่เจ้าของต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เช่น ห้ามปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นอุปสรรคในเขต

  • วันที่ประกาศ: ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย (ฉบับที่ 2)

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย (ฉบับที่ 2)

erc-61

สรุปสาระสำคัญของประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย (ฉบับที่ 2)

  • เรื่อง: การประกาศเพิ่มเติมท้องที่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาด 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย

  • วัตถุประสงค์: เพื่อปรับปรุงแนวเขตให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่แนวเขตพาดผ่าน

  • การกำหนดแนวเขตเพิ่มเติม: กำหนดให้พื้นที่บริเวณตำบลท่าช้าง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นส่วนเพิ่มเติมของเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • อำนาจของ กฟผ.: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีอำนาจในการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าบนหรือใต้ดินของรัฐและเอกชน รวมถึงการปักเสา และรื้อถอนอาคาร, สิ่งปลูกสร้าง หรือตัดฟันต้นไม้ในเขตที่กำหนด

  • การจ่ายค่าทดแทน: คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะพิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม

  • สิทธิในการอุทธรณ์: เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. ได้ภายใน 30 วัน หากไม่เห็นด้วยกับจำนวนค่าทดแทนหรือการดำเนินการ

  • กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การประกาศนี้ไม่กระทบต่อกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินของเจ้าของเดิม แต่เจ้าของต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น ห้ามปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นอุปสรรคในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • วันที่ประกาศ: ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่อำเภอเมืองขอนแก่น อำเภอน้ำพอง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น อำเภอโนนสะอาด อำเภอกุมภวาปี อำเภอประจักษ์ศิลปาคม อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี และอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงขอนแก่น – หนองคาย พ.ศ. 2568

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่อำเภอเมืองขอนแก่น อำเภอน้ำพอง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น อำเภอโนนสะอาด อำเภอกุมภวาปี อำเภอประจักษ์ศิลปาคม อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี และอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงขอนแก่น – หนองคาย พ.ศ. 2568

ทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีเวนคืน ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเวนคืน โทร. 063-6364547

act-144

หมายเหตุ: เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสร้างทางรถไฟ เครื่องประกอบทางรถไฟ ทาง และสิ่งจำเป็นอื่นตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ในท้องที่ตำบลสำราญ ตำบลโนนท่อน อำเภอเมืองขอนแก่น ตำบลม่วงหวาน ตำบลหนองกุง ตำบลวังชัย อำเภอน้ำพอง ตำบลเขาสวนกวาง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น ตำบลทมนางาม ตำบลโคกกลาง อำเภอโนนสะอาด ตำบลห้วยเกิ้ง ตำบลผาสุก อำเภอกุมภวาปี ตำบลห้วยสามพาด อำเภอประจักษ์ศิลปาคม ตำบลโนนสูง ตำบลหนองไผ่ ตำบลหมูม่น ตำบลนากว้าง ตำบลกุดสระ ตำบลบ้านขาว อำเภอเมืองอุดรธานี ตำบลนาพู่ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี และตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน สมควรกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ดังกล่าวเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2568

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2568

ทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีเวนคืน ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเวนคืน โทร. 063-6364547

act-143

หมายเหตุ: เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสร้างทางหลวงแผ่นดิน บริเวณจุดตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 232 ที่บ้านโนนเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน สมควรกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ดังกล่าวเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2568

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2568

ทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีเวนคืน ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเวนคืน โทร. 063-6364547

act-142

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากกรมทางหลวงชนบทได้ทำ การสำรวจเขตที่ดินเพื่อเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านจั่น ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองบัว และตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2562 เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท ถนนสาย ก 7 ถนนสาย ง 8 และถนนสาย จ ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองอุดรธานี และถนนต่อเชื่อม และเพื่อนำที่ดินไปชดเชย ให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ยังไม่แล้วเสร็จ สมควรกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ ขนอม – เกาะสมุย

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ ขนอม – เกาะสมุย

erc-60

สรุปสาระสำคัญของประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ ขนอม – เกาะสมุย

  • เรื่อง: ประกาศฉบับนี้เป็นการกำหนดเขตแนวเส้นทางสำหรับโครงการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาด 230 กิโลโวลต์ จากขนอมถึงเกาะสมุย

  • วัตถุประสงค์: เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น และรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอเกาะสมุยและบริเวณใกล้เคียง

  • แนวเขต: กำหนดให้พื้นที่ตามแนวเส้นทางที่ระบุเป็นเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • ข้อมูลเส้นทาง: มีระยะทางรวมประมาณ 49.19 กิโลเมตร พาดผ่านตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช, พื้นที่อ่าวไทยในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี, และตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

  • ความกว้างของเขต: มีการกำหนดความกว้างของเขตใน 7 ช่วง โดยมีความกว้างแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 6.00 เมตร ไปจนถึง 1,000.00 เมตร

  • อำนาจของ กฟผ.: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีอำนาจในการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าบน, ใต้, ตาม หรือข้ามที่ดินของรัฐหรือเอกชน รวมถึงการปักเสา, รื้อถอนอาคาร, สิ่งปลูกสร้าง หรือตัดฟันต้นไม้และพืชผลในเขตที่กำหนด

  • การจ่ายค่าทดแทน: คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะพิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้กับเจ้าของทรัพย์สินในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • สิทธิในการอุทธรณ์: เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. ได้ภายใน 30 วัน หากไม่เห็นด้วยกับจำนวนค่าทดแทนหรือการดำเนินการของ กฟผ.

  • กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การประกาศนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเจ้าของเดิม แต่เจ้าของต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เช่น ห้ามปลูกสร้างสิ่งที่จะก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นอุปสรรคในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • ข้อห้ามเพิ่มเติม: ห้ามมิให้ผู้ใดทอดสมอเรือ, เกาสมอ หรือลากแห, อวน หรือเครื่องจับสัตว์น้ำใดๆ ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า ผู้ที่ฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  • วันที่ประกาศ: ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ พนมสารคาม – จุดเชื่อมระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ปลวกแดง – วังน้อย

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ พนมสารคาม – จุดเชื่อมระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ปลวกแดง – วังน้อย

erc-58

สรุปสาระสำคัญของประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ พนมสารคาม – จุดเชื่อมระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ปลวกแดง – วังน้อย

  • เรื่อง: การกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาด 500 กิโลโวลต์ สำหรับเส้นทางจากพนมสารคาม ไปยังจุดเชื่อมระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ปลวกแดง – วังน้อย

  • วัตถุประสงค์: เพื่อรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ และเพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง

  • การกำหนดแนวเขต: กำหนดให้พื้นที่ตามแนวเส้นทางใหม่เป็นเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • ข้อมูลเส้นทาง: มีระยะทางรวมประมาณ 686.98 เมตร และพาดผ่านท้องที่ตำบลหนองแหนและตำบลเกาะขนุน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

  • ความกว้างของเขต: แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่:

    • ช่วงที่ 1: จากสถานีไฟฟ้าย่อยพนมสารคาม ถึง กม. 0 + 585.25 มีความกว้าง 50.00 เมตร (ด้านเหนือ 30.00 เมตร และด้านใต้ 20.00 เมตร)

    • ช่วงที่ 2: จาก กม. 0 + 585.25 ถึงจุดเชื่อม มีความกว้าง 60.00 เมตร (วัดจากแนวศูนย์กลางของเสาสายส่งไฟฟ้าออกไปด้านละ 30.00 เมตร)

  • อำนาจของ กฟผ.: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีอำนาจในการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าบน, ใต้, ตาม หรือข้ามระบบโครงข่ายพลังงานของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น, ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือพื้นดินของบุคคลใด กฟผ. ยังสามารถปักเสาหรืออุปกรณ์อื่น, รื้อถอนอาคาร, โรงเรือน หรือตัดฟันต้นไม้, กิ่ง, ราก หรือพืชผลในเขตที่กำหนดได้ด้วย

  • การจ่ายค่าทดแทน: คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะพิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมให้กับเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • สิทธิในการอุทธรณ์: เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. ได้ภายใน 30 วัน หากไม่เห็นด้วยกับจำนวนค่าทดแทนหรือการดำเนินการของ กฟผ.

  • กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การประกาศนี้ไม่มีผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินตามกฎหมายของเจ้าของเดิม อย่างไรก็ตาม เจ้าของต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น ห้ามปลูกสร้างอาคาร, โรงเรือน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจทำให้เกิดอันตรายหรือเป็นอุปสรรคในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า

  • วันที่ประกาศ: ประกาศ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่ดินอยู่ในแนวเขตสายไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน การฟ้องคดีเกี่ยวกับการเวนคืนและการรอนสิทธิ การจัดทำคำอุทธรณ์คัดค้านการกำหนดแนวเขต การฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การฟ้องเรียกค่าทดแทน ทนายความคดีโครงข่ายไฟฟ้า 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงออเงิน เขตสายไหม แขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และตำบลลาดสวาย ตำบลบึงคำพร้อย ตำบลลำลูกกา ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2568

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงออเงิน เขตสายไหม แขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และตำบลลาดสวาย ตำบลบึงคำพร้อย ตำบลลำลูกกา ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2568

ทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีเวนคืน ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเวนคืน โทร. 063-6364547

act-141

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสร้าง ทางพิเศษฉลองรัช – นครนายก – สระบุรี ช่วงจตุโชติ – ถนนลำลูกกา ในท้องที่แขวงออเงิน เขตสายไหม แขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และตำบลลาดสวาย ตำบลบึงคำพร้อย ตำบลลำลูกกา ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่ออำนวยความสะดวก และความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อนำที่ดินไปชดเชย ให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน สมควรกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ดังกล่าว เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มา โดยแน่ชัด จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง