การฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย ตามมติ ป.ป.ช.

การฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย ตามมติ ป.ป.ช.

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

• พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (มาตรา 101 วรรคหนึ่ง)
• พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 42 วรรคสอง)
• ประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ พ.ศ. 2558 (ข้อ 5 และข้อ 9)
 

เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐถูกคำสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงตามการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ผู้ที่ได้รับคำสั่งย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้น แต่คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ผู้ได้รับคำสั่งดังกล่าวจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้มีอำนาจก่อนนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองหรือไม่? หรือสามารถฟ้องตรงต่อศาลได้ทันที บทความนี้จะไขข้อข้องใจพร้อมคำตอบจากศาลปกครองสูงสุด

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ คำสั่งนี้ออกโดยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น โดยอาศัยมติของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลที่ให้ลงโทษตามการชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เหตุแห่งการลงโทษคือการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ ซึ่งถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อราชการ เจ้าหน้าที่รายนี้ไม่เห็นด้วยกับการออกคำสั่งดังกล่าว โดยเห็นว่าไม่ชอบด้วยระเบียบและข้อบังคับหลายประการ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ รวมถึงเพิกถอนมติที่เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย
 
ในชั้นศาลปกครองชั้นต้น ศาลเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไล่ออกจากราชการต่อคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลตามขั้นตอนที่กฎหมายและระเบียบกำหนดไว้ก่อน ซึ่งระบุให้พนักงานส่วนตำบลที่ถูกสั่งลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำสั่ง ด้วยเหตุนี้ ศาลชั้นต้นจึงวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดียังไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งต่อศาลปกครอง
 
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาประเด็นนี้ใหม่ โดยอ้างอิงถึงบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 101 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่ถูกลงโทษมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายใน 90 วันนับแต่วันที่ถูกลงโทษ โดยไม่จำต้องอุทธรณ์ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้นั้นก่อนก็ได้ หรือจะเลือกอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ก่อนก็ได้
 
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษ แต่เลือกที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองโดยโต้แย้งว่าคำสั่งลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีประสงค์จะใช้สิทธิในการฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษโดยตรง และเมื่อคำสั่งลงโทษออกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องในวันที่ 8 มีนาคม 2566 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลา 90 วันนับแต่วันที่ถูกลงโทษ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอำนาจรับคำฟ้องในส่วนนี้ไว้พิจารณาได้
 
สำหรับคำขอที่ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลและคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า มติเหล่านี้เป็นเพียงขั้นตอนการดำเนินการหรือการเตรียมการเพื่อให้เกิดคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ ซึ่งเป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองเท่านั้น และไม่ใช่คำสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุนี้ ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษากลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น และให้รับคำฟ้องในส่วนที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการไว้พิจารณา
 
โดยสรุป การฟ้องเพิกถอนคำสั่งลงโทษพนักงานส่วนท้องถิ่นที่เกิดจากมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากผู้ถูกลงโทษประสงค์จะฟ้องเพิกถอนคำสั่งทั้งหมดโดยเห็นว่าคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งลงโทษ โดยไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ตามระเบียบการบริหารงานบุคคลก่อน แต่หากผู้ถูกลงโทษยอมรับว่ากระทำความผิดแต่ต้องการอุทธรณ์เฉพาะดุลพินิจในการกำหนดโทษ (เช่น ขอให้ลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออก) กรณีนี้ยังคงต้องยื่นอุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ก่อนนำคดีมาฟ้องศาลปกครอง ดังนั้น สิทธิในการฟ้องคดีจึงขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ถูกลงโทษ ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
 

คำสำคัญ: คดีปกครอง, คำสั่งลงโทษทางวินัย, ป.ป.ช., อุทธรณ์, ฟ้องเพิกถอน, ศาลปกครอง, การทุจริต, พนักงานส่วนท้องถิ่น, ไล่ออกจากราชการ, ดุลพินิจในการลงโทษ

คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1011/2566

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง