การแสดงเจตนายื่นเสนอราคาโดยสําคัญผิดในปริมาณงานและราคากลาง
สัญญาทางปกครอง (สัญญาจ้างทํางานกับรัฐ)
ในสัญญาทางปกครองแม้จะมีหลักการว่า รัฐในฐานะผู้รับผิดชอบการจัดทํา บริการสาธารณะย่อมมีอํานาจในการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว โดยมีผลให้สัญญาเลิกกันได้โดยไม่ต้อง เสนอเรื่องต่อศาลเพื่อมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้สัญญาเป็นอันเลิกกันก็ตาม แต่หลักการดังกล่าว มิได้หมายความว่าการแสดงเจตนาเลิกสัญญาจะมีได้เฉพาะแต่คู่สัญญาฝ่ายรัฐเท่านั้น คู่สัญญาฝ่ายเอกชนยังคงมีสิทธิ์แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาได้ เพียงแต่การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาของ คู่สัญญาฝ่ายเอกชนจะไม่มีผลทางกฎหมายได้เอง ต้องมีการร้องขอให้ศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษา ให้สัญญาทางปกครองเป็นอันเลิกกัน หากปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายปกครองเป็นฝ่ายผิดสัญญาอย่างร้ายแรง จนเป็นเหตุให้คู่สัญญาฝ่ายเอกชนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ สัญญาทางปกครองเป็นอันเลิกกันได้เมื่อมีกรณีที่เป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งมิใช่ความผิดของคู่กรณีฝ่ายใด อันเป็นเหตุที่ทําให้คู่สัญญาไม่อาจปฏิบัติการชําระหนี้ตามสัญญาได้โดยสิ้นเชิง หรือกรณีที่มีข้อเท็จจริง หรือพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นได้ว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมกันโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ให้สัญญาทางปกครองเป็นอันเลิกกันตามหลักการทั่วไปว่าด้วยสัญญาดังที่ปรากฏในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อสัญญาจ้างทํางานโครงการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติฯ แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ของสัญญาที่ถือเอาปริมาณงานที่กําหนดไว้ในบัญชีรายการก่อสร้างหรือใบแจ้งปริมาณงานและราคาเป็นจํานวนโดยประมาณเท่านั้น โดยหากปริมาณงาน ที่ทําเสร็จจริงเกินกว่าปริมาณที่กําหนดไว้ในสัญญาหรือใบแจ้งปริมาณงานและราคา ข้อกําหนดในสัญญาก็ได้กําหนดเกณฑ์การจ่ายค่าจ้างไว้อย่างชัดเจน ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างรวมถึงงานโยธาอื่น ๆ ย่อมต้องทราบถึงการดําเนินการตามสัญญาในลักษณะนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดียื่นใบเสนอราคางานโครงการพิพาท จึงไม่ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในปริมาณงานและราคากลาง และไม่ทําให้สัญญาจ้างโครงการดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ผู้ฟ้องคดีต้องผูกพัน ปฏิบัติตามข้อกําหนดในสัญญาฉบับพิพาท นอกจากนี้ เหตุที่ปริมาณดินมีจํานวนมากกว่าที่กําหนดในประกาศสอบราคาก็ไม่ถือเป็นเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายปกครองเป็นฝ่ายผิดสัญญาอย่างร้ายแรง จนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดี ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาต่อไปได้ และไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทําให้คู่สัญญาไม่อาจ ปฏิบัติการชําระหนี้ตามสัญญาได้โดยสิ้นเชิง การที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินค่าจ้างส่วนที่ได้ทําไปแล้ว จํานวน 84,500 บาท จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและสัญญา อีกทั้งยังมีผลทําให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถ ทํางานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลากลับเป็นฝ่ายผิดสัญญาเสียเอง เป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีสิทธิ บอกเลิกสัญญาต่อผู้ฟ้องคดีได้ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 5 ตุลาคม 2557 บอกเลิกสัญญาต่อผู้ฟ้องคดีแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2557 และเรียกค่าปรับเป็นเงิน จํานวน 397,800 บาท การใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการกระทําโดยชอบ ด้วยข้อสัญญา
ในการนี้ แม้ว่าเงินจํานวน 84,500 บาท ที่ผู้ฟ้องคดีเรียกร้องจะเป็นจํานวนเดียวกัน กับที่ผู้ฟ้องคดีเรียกร้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รับผิดตามหนังสือบอกเลิกสัญญาลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 แต่เมื่อในขณะยื่นฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีเพียงแต่มีหนังสือบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียว โดยไม่ชอบ โดยที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังมิได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาด้วยแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่า สัญญาพิพาทเลิกกันแล้วก่อนที่ผู้ฟ้องคดีจะนําคดีมาฟ้อง การที่ผู้ฟ้องคดีมีคําขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้เงินจํานวน 84,500 บาท จึงมิใช่การเรียกร้องค่าการงานที่พึงได้รับจากการเลิกสัญญา หากแต่เป็นการเรียกร้องเงินตามสัญญา อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าผู้ฟ้องคดีเป็นฝ่าย ผิดสัญญาเนื่องจากไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จภายในกําหนด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด ชําระเงินจํานวน 84,500 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี
โดยสรุป เมื่อสัญญามีวัตถุประสงค์ให้ถือเอาปริมาณงานตามใบแจ้งปริมาณงานและราคาเป็นจํานวนโดยประมาณ การที่ปริมาณงานจริงมีจํานวนมากกว่าที่กําหนดในประกาศจัดซื้อจัดจ้างไม่ถือเป็นกรณีที่ผู้รับจ้างเสนอราคาโดยสําคัญผิดในปริมาณงานและราคากลาง จึงไม่ทําให้สัญญาตกเป็นโมฆะ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 499/2565
ที่มา : สสค.
———————————————
ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw
สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง