ประสบอุบัติเหตุจากต้นไม้ริมทางหลวงล้มทับ | เรื่องเด่น คดีปกครอง

ประสบอุบัติเหตุจากต้นไม้ริมทางหลวงล้มทับ

ละเมิดต่อบุคคลภายนอก : ละเมิดจากการละเลย (กรณีประสบอุบัติเหตุจากต้นไม้ริมทางหลวงล้มทับ)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 420)
  2. พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 (มาตรา 4 มาตรา 19)
  3. กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2552 (ข้อ 2 (2))

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ขณะผู้ฟ้องคดีกําลังขับรถยนต์ไปปฏิบัติงานที่สํานักงานเทศบาลตําบล ปรากฏว่าต้นหว้าขนาดใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่ในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 202 ได้โค่นล้มลงมาทับรถยนต์ของผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีได้รับบาดเจ็บ โดยที่มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 บัญญัติให้อธิบดีกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มีหน้าที่กํากับ ตรวจตรา และควบคุมทางหลวง… ซึ่งหมายความรวมถึงที่ดิน พืช พันธุ์ไม้ทุกชนิด เจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) จึงมีหน้าที่ในการจัดให้มีและบํารุงรักษาต้นไม้ในเขตทางหลวงให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยต้นไม้ในเขตทางหลวงดังกล่าวไม่ได้จํากัดเฉพาะต้นไม้ที่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปลูกเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงต้นไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ด้วย เพื่อมิให้กีดขวางเส้นทางสัญจรหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทาง และหากเกิดความเสียหายใด ๆ จากต้นไม้ในเขตทางหลวง กรณีจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีที่เป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการดําเนินกิจการต่าง ๆ ในเขตรับผิดชอบของทางหลวงเพื่อประโยชน์ในการจราจรสาธารณะทางบก รวมถึงการจัดให้มีและบํารุงรักษาต้นไม้ที่อยู่บนพื้นที่เขตทางหลวงให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ตามข้อ 2 (2) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2552

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลักษณะสภาพอากาศในวันเกิดเหตุปรากฏว่า กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2560 พายุโซนร้อนเชินกาจะทําให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากเป็นบริเวณกว้างหลายพื้นที่ ซึ่งอาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก หรือน้ําล้นตลิ่งด้วย โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับภาพถ่ายที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายนําส่งว่า ในวันและเวลาเกิดเหตุได้มีพายุลมแรงและฝนตกหนักต่อเนื่องยาวนานในบริเวณที่เกิดเหตุ อีกทั้ง เมื่อพิจารณารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด สรุปได้ว่า นาย พ. หัวหน้าหมวดทางหลวงอํานาจเจริญ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบทางหลวงหมายเลข 202 ที่เกิดเหตุ ได้ให้ถ้อยคําว่า ได้มีการกําหนดแผนการดูแลบํารุงรักษาต้นไม้ในสายทางที่รับผิดชอบเป็นแผนการปฏิบัติงานประจําเดือนของหมวดทางหลวงโดยได้ตัดแต่งกิ่ง ตัดไม้แห้งและไม้ยืนต้นที่เอนเอียงโน้มเข้าหาทาง มีการตรวจสภาพต้นไม้เป็นประจำปรากฏตามบันทึกค่าใช้จ่ายงานบํารุงปกติ ใบขออนุญาตการใช้รถส่วนกลาง ภาพถ่ายการดูแลบํารุงรักษาตัดแต่งกิ่งต้นไม้ โดยในวันเกิดเหตุ นาย พ. ได้ไปตรวจสอบและตัดต้นไม้ที่ล้มทับขวางทางหลวง โดยได้ตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุด้วย แต่ไม่พบว่ามีต้นไม้เอนเอียงเข้าหาทางหรือล้มทับขวางทาง ประกอบกับต้นไม้ที่ล้มทับรถยนต์ของผู้ฟ้องคดีเป็นไม้สดเขียวชอุ่ม ไม่มีลักษณะผุกลวง ไม่มีลักษณะ เอนเอียง จึงไม่อาจคาดหมายได้ว่าต้นไม้ดังกล่าวจะโค่นล้ม อีกทั้ง ระยะเวลาที่ตรวจสอบห่างจาก เวลาที่เกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง โดยอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกา การที่ต้นไม้โค่นล้ม จึงเป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากภัยธรรมชาติของพายุเซินกา คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ เห็นว่า นาย พ.ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยตรวจตราดูแลบํารุงรักษาทางที่เกิดเหตุและมีการตรวจสอบสภาพต้นไม้โดยตัดแต่งกิ่งต้นไม้อันจะเป็นอันตรายตามสายทางที่เกิดเหตุแล้ว ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ ของทางราชการ และไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความประมาทเลินเล่อ นอกจากนี้ ข้อเท็จจริง ปรากฏตามภาพถ่ายการตัดแต่งกิ่งต้นไม้บริเวณทางหลวงหมายเลข 202 ของเจ้าหน้าที่หมวดทางหลวงอํานาจเจริญที่ปฏิบัติงานในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม 2560 ประกอบใบขออนุญาตการใช้ รถส่วนกลางเพื่อออกไปตัดต้นไม้ที่แห้งตายในไหล่ทาง รวมถึงบันทึกข้อความขออนุมัติทํางานนอกเวลาราชการและวันหยุดราชการ ซึ่งระบุว่า ตามที่ได้มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทําให้ผิวทาง ชํารุดเสียหายและมีหลุมบ่อจํานวนมาก จําเป็นต้องเร่งซ่อมแซมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงขออนุมัติทํางานนอกเวลาราชการระหว่างวันที่ 28 ถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2560 แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีการวางแผนดูแลบํารุงรักษาตัดแต่งต้นไม้ตามระยะเวลาที่กําหนด กรณีจึงต้อง ถือว่าเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ดูแลบํารุงรักษาต้นไม้ทั้งในช่วงก่อนและหลังวันที่เกิดเหตุตามอํานาจหน้าที่ด้วยความระมัดระวังตามสมควรแล้ว

จากการพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งภาพถ่ายทั้งหมด เห็นได้ว่า ในวันเกิดเหตุ ได้มีพายุลมแรงและฝนตกหนักต่อเนื่อง จึงเชื่อได้ว่าการที่ต้นหว้าโค่นล้มลงทับรถยนต์ของผู้ฟ้องคดี เป็นผลโดยตรงจากภัยธรรมชาติของพายุโซนร้อนเซินกา ซึ่งสังเกตได้จากการที่ต้นหว้ายังอยู่ในสภาพ สมบูรณ์ มีใบเขียวชอุ่ม และไม่มีลักษณะผุกลวงอันอาจจะก่อให้เกิดอันตราย จึงเป็นการหักโค่นล้ม ด้วยเหตุที่มีฝนตกหนักและพายุลมแรง ไม่ได้เกิดจากขาดการดูแลบํารุงรักษาตามมาตรฐานงานบํารุงทางปกติ ประกอบกับต้นหว้าที่หักโค่นมีลักษณะเป็นต้นไม้สด มิใช่ต้นไม้ยืนต้นตายหรือต้นไม้ผุกลวง จึงไม่อาจคาดหมายได้ว่าต้นไม้ดังกล่าวจะหักโค่นล้มลง นอกจากนี้ เหตุอันเกิดจากภัยธรรมชาติของพายุโซนร้อนเงินกาไม่ได้ส่งผลให้เฉพาะต้นหว้าโค่นล้มทับรถยนต์ของผู้ฟ้องคดีเพียงคนเดียว แต่ผลกระทบจากพายุโซนร้อนเงินกาดังกล่าวยังทําให้เกิดเหตุต้นไม้ล้มทับขวางทางอีกหลายต้น และหลายแห่งในทางหลวงหมายเลข 202 กรณีจึงเห็นได้ว่าแม้เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลและบํารุงรักษาต้นไม้ในเขตทางหลวงอย่างทั่วถึงเพียงใด แต่เมื่อเกิดเหตุ วาตภัยจากพายุโซนร้อนเป็นกาซึ่งเป็นภัยธรรมชาติก็ไม่อาจป้องกันมิให้เกิดภยันตรายจากการที่ต้นไม้ โค่นล้มในลักษณะนี้ได้ และไม่สามารถป้องกันมิให้เกิดภยันตรายแก่ผู้ใช้ทางได้ ดังนั้น การที่ต้นหว้าหักโค่นล้มทับรถยนต์ของผู้ฟ้องคดีจึงเกิดจากลมพายุฝนหรือวาตภัย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่อาจป้องกันไม่ให้เกิดภยันตรายได้จึงถือเป็นเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย กําหนดให้ต้องปฏิบัติในการดูแลบํารุงรักษาต้นไม้ในเขตทางหลวง จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย และไม่เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

โดยสรุป หากอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการที่หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการดูแลรักษาต้นไม้ริมทางดังกล่าว หน่วยงานต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย ทว่าจากข้อเท็จจริงในคดีนี้การที่ต้นหว้าโค่นล้มลงทับรถยนต์ของผู้ฟ้องคดีเป็นผลโดยตรงจากพายุโซนร้อน ซึ่งสังเกตได้จากการที่ต้นหว้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มีใบเขียวชอุ่ม ไม่มีลักษณะผุกลวงอันอาจจะก่อให้เกิดอันตราย จึงไม่ได้เป็นการหักโค่นล้มจากขาดการดูแลบํารุงรักษาตามมาตรฐานปกติ นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ทางหลวงได้มีการตัดแต่งกิ่ง ตัดไม้แห้งและไม้ยืนต้น ที่เอนเอียงโน้มเข้าหาทาง และมีการตรวจสภาพต้นไม้เป็นประจํา ประกอบกับพายุโซนร้อนยังทําให้ต้นไม้ล้มอีกหลายต้นและหลายแห่ง แม้เจ้าหน้าที่ได้ดูแลบํารุงรักษาตัดแต่งต้นไม้อย่างทั่วถึงเพียงใด ก็ไม่อาจป้องกันภัยธรรมชาติจากพายุฝนหรือวาตภัยได้ จึงถือเป็นเหตุสุดวิสัยไม่อาจถือได้ว่าเจ้าหน้าที่ละเลยต่อหน้าที่ และไม่เป็นการกระทําละเมิด

คําสําคัญ : ละเมิดต่อบุคคลภายนอก/ละเมิดจากการละเลย/ต้นไม้ริมทาง/การบํารุงรักษาต้นไม้/ ต้นไม้สด/พายุฝนลมแรง วาตภัย ไม่อาจป้องกันได้/เหตุสุดวิสัย/ละเมิดหรือไม่

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.322/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

ยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาโดยฝากส่งกับร้านที่ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในห้างสรรพสินค้า | เรื่องเด่น คดีปกครอง

การยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาศาลปกครองโดยฝากส่งกับร้านที่ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในห้างสรรพสินค้า

วิธีพิจารณาคดีปกครอง (การยื่นคําอุทธรณ์ทางไปรษณีย์)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 3 และมาตรา 73 วรรคหนึ่ง)
  2. พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 (มาตรา 4 และมาตรา 5)
  3. พระราชกฤษฎีกากําหนดอํานาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด พ.ศ. 2546 (มาตรา 3)
  4. ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 (ข้อ 13 วรรคหนึ่ง)

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 4 และมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 ประกอบกับมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกากําหนดอํานาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด พ.ศ. 2546 แล้ว เห็นได้ว่า กิจการไปรษณีย์เป็นกิจการที่รัฐทรงไว้ซึ่งอํานาจสิทธิขาดที่จะดําเนินการ แต่รัฐได้อาศัยอํานาจตามบทบัญญัติของกฎหมาย มอบหมายให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด เป็นผู้ดําเนินการแทนรัฐ ดังนั้น เจ้าพนักงานไปรษณีย์ ตามข้อ 13 รรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงหมายถึงบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด หรือตัวแทน หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ให้ดําเนินกิจการ ไปรษณีย์ เมื่อคดีนี้ ศาลปกครองชั้นต้นได้อ่านผลแห่งคําพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565 ซึ่งจะครบกําหนดยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาในวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคําอุทธรณ์โดยนําส่งทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ณ ร้าน P. ซึ่งตั้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เวลา 17.59 นาฬิกา แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ร้าน P. ไม่ได้อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และไม่ได้ตั้งขึ้นในลักษณะของที่ทําการไปรษณีย์อนุญาต ร้าน P. จึงมิได้เป็น ที่ทําการไปรษณีย์ หรือเป็นร้าน หรือสถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดเป็นสถานที่รับ รวบรวมสิ่งของเพื่อส่งโดยทางไปรษณีย์ หรือได้รับอนุญาตให้เป็นผู้รับดําเนินงานร้านไปรษณีย์ไทย จากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ดังนั้น ร้าน P. จึงไม่ใช่ตัวแทน หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ให้ดําเนินกิจการไปรษณีย์ อีกทั้ง การที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ส่งมอบ ป้ายสติ๊กเกอร์หมายเลขพัสดุให้แก่ผู้ประกอบการที่ใช้บริการ e-Parcel ติดลงบนสิ่งของที่ลูกค้านํามา ฝากส่งไว้ก่อนเพื่อความสะดวกในการรับฝาก และเพื่อให้ลูกค้าที่นํามาฝากส่งได้ทราบหมายเลขพัสดุ แต่พัสดุชิ้นดังกล่าวจะยังไม่เข้าสู่ระบบไปรษณีย์ จนกว่าผู้ประกอบการที่ใช้บริการ e-Parcel จะนํามา ฝากส่ง ณ ที่ทําการไปรษณีย์ การส่งคําอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ณ ร้าน P. จึงมิใช่เป็นการยื่นต่อเจ้าพนักงานไปรษณีย์ตามข้อ 13 แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ และถือไม่ได้ว่าวันที่ส่งคําอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล กรณีจึงเป็นการยื่น อุทธรณ์เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

โดยสรุป การยื่นคําอุทธรณ์โดยฝากส่งกับร้านค้าตามห้างสรรพสินค้าที่ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วน ซึ่งมิได้เป็นตัวแทนหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ไม่ถือเป็นการส่งคําอุทธรณ์ต่อเจ้าพนักงานไปรษณีย์

คําสําคัญ : การยื่นคําอุทธรณ์ยื่นอุทธรณ์ทางไปรษณีย์ ที่ทําการไปรษณีย์ เจ้าพนักงานไปรษณีย์/ กําหนดเวลายื่นอุทธรณ์

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 739/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

การยื่นคําอุทธรณ์โดยส่งทางไปรษณีย์ภายในเวลาเปิดทําการ ตามปกติของที่ทําการไปรษณีย์ | เรื่องเด่น คดีปกครอง

การยื่นคําอุทธรณ์โดยส่งทางไปรษณีย์ภายในเวลาเปิดทําการ ตามปกติของที่ทําการไปรษณีย์

วิธีพิจารณาคดีปกครอง (การยื่นคําอุทธรณ์ทางไปรษณีย์)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 3 มาตรา 46 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง
  2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 193/8)

คดีนี้ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 คู่กรณีจึงต้องยื่นอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นภายในกําหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้มี คําพิพากษาตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ คือ ภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2565 แต่เนื่องจากวันดังกล่าวตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ คู่กรณีจึงต้องยื่นอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 อันเป็น วันเริ่มทําการใหม่ต่อจากวันหยุดทําการตามมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ยื่นคําอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นซึ่งถือเป็นคําฟ้องตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ณ ที่ทําการ ไปรษณีย์พัทยา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 เวลา 17.25 นาฬิกา ภายในเวลาเปิดทําการตามปกติ ของที่ทําการไปรษณีย์พัทยา ตั้งแต่เวลา 08.30 นาฬิกา ถึง 19.00 นาฬิกา กรณีจึงต้องถือว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ส่งคําอุทธรณ์แก่เจ้าพนักงานไปรษณีย์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 อันเป็นการยื่นอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นภายในกําหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้มี คําพิพากษาตามมาตรา 46 และมาตรา 73 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับมาตรา 193/8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

โดยสรุป การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคําอุทธรณ์โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ณ ที่ทําการไปรษณีย์ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 เวลา 17.25 น. อันเป็นเวลาเปิดทําการตามปกติของที่ทําการ ไปรษณีย์ ที่มีกําหนดตั้งแต่เวลา 08.30 น. ถึง 19.00 น. ถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ส่งคําอุทธรณ์ แก่เจ้าพนักงานไปรษณีย์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 และถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันยื่นคําอุทธรณ์ต่อศาลปกครองตามมาตรา 46 ประกอบกับมาตรา 73 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

คําสําคัญ : การยื่นคําอุทธรณ์ยื่นอุทธรณ์ทางไปรษณีย์/เวลาเปิดทําการ

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 266/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

การใช้ดุลพินิจกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมจากประกาศรับสมัครคัดเลือก | เรื่องเด่น คดีปกครอง

การใช้ดุลพินิจกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมจากประกาศรับสมัครคัดเลือกพนักงานส่วนท้องถิ่นเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น

การบริหารงานบุคคลภาครัฐ (การรับสมัครคัดเลือกบุคคล)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประกาศคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 (ข้อ 102 ข้อ 106 และข้อ 145)

เมื่อตามประกาศคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหาร ส่วนจังหวัด ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ข้อ 102 ข้อ 106 และข้อ 195 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับสูงขึ้นไว้ว่า ให้ดําเนินการคัดเลือก ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตําแหน่งผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดําเนินการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช กําหนด ซึ่งข้าราชการผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือกต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติ ครบถ้วนตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ตามมาตรฐานกําหนดตําแหน่งที่จะแต่งตั้งในวันรับสมัคร ตามประกาศกําหนดการเลื่อนและแต่งตั้งข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น และได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำของอัตราเงินเดือนในระดับที่จะได้รับการแต่งตั้งนั้น โดยการเลื่อนและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งบริหารระดับ 8 ให้เลื่อน และแต่งตั้งได้ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) มีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ที่จะแต่งตั้งตามที่กําหนดไว้ในมาตรฐานกําหนดตําแหน่ง (2) ต้องได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำของอันดับเงินเดือนในระดับ 8 (3) ได้ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานจากผู้บังคับบัญชา จึงเห็นได้ว่าตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กําหนดเพียงให้พิจารณาความเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานกําหนดตําแหน่งเท่านั้น โดยมิได้มีการกําหนดว่าในการคัดเลือกข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตําแหน่งผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น จะต้อง ทําการคัดเลือกจากผู้ที่กําลังดํารงตําแหน่งอยู่ในสายงานนั้นในขณะที่มีการเปิดรับสมัครคัดเลือก เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศรับสมัครคัดเลือกฯ ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 และมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ตามมาตรฐานกําหนดตําแหน่งนักบริหารงานนโยบายและแผน 8 ตามประกาศคณะกรรมการ ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับ การบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ที่จะสมัคร (นักบริหารงานเข้ารับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการกองแผนและงบประมาณนโยบายและแผน ระดับ 8) ซึ่งประธานกรรมการคัดเลือกข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตําแหน่งผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น (ผู้ถูกฟ้องคดี) ก็ได้รับในคําให้การว่า ประกาศรับสมัครคัดเลือกฯ ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 ได้กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้ารับการสมัครคัดเลือกเป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น การที่ คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติให้เหตุผลว่า ผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติ เนื่องจากปัจจุบัน ดํารงตําแหน่งนักบริหารงานทั่วไป ซึ่งเป็นตําแหน่งต่างสายงานกับตําแหน่งที่ประกาศรับสมัคร จึงมีคุณสมบัติไม่ตรงตามประกาศรับสมัครคัดเลือกฯ ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 ทั้งที่ประกาศ รับสมัครคัดเลือกไม่ได้กําหนดคุณสมบัติดังกล่าวไว้ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจกําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมจากประกาศรับสมัครคัดเลือกฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิของข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ดํารงตําแหน่งต่างสายงานในขณะเปิดรับสมัครคัดเลือก เมื่อไม่ปรากฏว่าประกาศรับสมัครดังกล่าวได้กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครคัดเลือกว่าจะต้องเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในสายงานเดียวกันกับตําแหน่งที่ประกาศรับสมัคร คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าว มาตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีได้ ดังนั้น ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกฯ ตําแหน่งผู้อํานวยการ กองแผนและงบประมาณ (นักบริหารงานนโยบายและแผน ระดับ 8) ของผู้ถูกฟ้องคดี ที่เห็นชอบ ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติว่า ผู้ฟ้องคดีมีคุณสมบัติไม่ตรงตามประกาศ รับสมัครคัดเลือกฯ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยสรุป เมื่อประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตําแหน่งผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น ไม่ได้กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครคัดเลือกว่าจะต้องเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในสายงานเดียวกับตําแหน่งที่ประกาศ รับสมัคร คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวมาตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีได้ 

คําสําคัญ : ดุลพินิจ/การกําหนดคุณสมบัติ/พนักงานส่วนท้องถิ่น/องค์การบริหารส่วนจังหวัด/การเลื่อนและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงขึ้น/นักบริหาร/ตัดสิทธิ

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 47/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

กรณีความขัดแย้งระหว่างพนักงานส่วนตําบลกับผู้บริหาร ของ อบต. | เรื่องเด่น คดีปกครอง

กรณีมีความขัดแย้งระหว่างพนักงานส่วนตําบลกับผู้บริหาร ของ อบต. 

การบริหารงานบุคคลภาครัฐ (การสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 (มาตรา 25 วรรคหนึ่ง)
  2. พระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจําตําแหน่งของข้าราชการและผู้ดํารงตําแหน่ง ผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2538
  3. ประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัดหนองบัวลําภู เรื่อง หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตําบล ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ข้อ 171 ข้อ 175 และข้อ 176)

ในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตําบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) คําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยนายกองค์การบริหารส่วนตําบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ในการประชุมครั้งที่ 7/2558 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดํารงตําแหน่ง ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล ไปประจําสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบล เป็นเวลา 6 เดือน เป็นการใช้อํานาจตามข้อ 176 ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตําบล (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ 14 มีนาคม 2546 โดยการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขอความเห็นชอบให้ผู้ฟ้องคดีไปประจําสํานักงานเลขานุการฯ หรือย้ายออกนอกพื้นที่ เป็นการรายงานพร้อมเหตุผลความจําเป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทราบว่า กรณีมีความจําเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ หรือกรณีมีความขัดแย้งระหว่างผู้ฟ้องคดี กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และไม่สามารถดําเนินการโอนผู้ฟ้องคดีตามข้อ 171 และข้อ 175 ของประกาศ คณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตําบล ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2545 ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ทําการตรวจสอบโดยมอบให้นายอําเภอ ซึ่งเป็นผู้มีอํานาจกํากับดูแลผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตรวจสอบ และนายอําเภอได้รายงานผลการตรวจสอบว่า กรณีการดําเนินการทางวินัยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้ฟ้องคดี ผลการสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีมูลความผิดวินัยฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการและถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดําเนินการของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ส่วนกรณีความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ฟ้องคดี อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ แต่มิได้มีเหตุบ่งชี้หรือพฤติการณ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย ต่อบุคคลแต่อย่างใด และรายงานเพิ่มเติมว่า ประธานกรรมการสอบสวนทางวินัยขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ขอความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ผู้ฟ้องคดีไปประจําสํานักงานเลขานุการฯ เนื่องจากเห็นว่า หากให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน แสดงให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งมีอํานาจหน้าที่กําหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย รับผิดชอบในการบริหารราชการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตลอดจนควบคุมและรับผิดชอบในการ บริหารราชการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงจากผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีประจําสํานักงานเลขานุการฯ อยู่หลายครั้ง ในทุก ๆ สมัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีปัญหาขัดแย้งระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 1 ในการบริหารงานสะสมมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่ได้รับการแก้ไขย่อมส่งผลกระทบต่อ การบริการสาธารณะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่บริหารงานบุคคลสําหรับองค์การบริหารส่วนตําบลทุกแห่งในเขตจังหวัด ตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 จึงต้องคํานึงถึงการบริหารราชการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นสําคัญ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 7/2558 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 มีมติเห็นชอบให้ผู้ฟ้องคดีไปประจําสํานักงานเลขานุการฯ เป็นเวลา 6 เดือน จึงเป็นไปตามข้อ 176 ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตําบล (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ 14 มีนาคม 2546 ดังนั้น คําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีไปประจําสํานักงานเลขานุการฯ เป็นระยะเวลา 6 เดือน จึงชอบด้วยกฎหมายและมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ยกคําร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดี จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับคําสั่งให้ไปประจําสํานักงานเลขานุการ ก.อบต. จังหวัด กรณีจึงต้องถือว่าในระหว่างที่ผู้ฟ้องคดีประจําสํานักงานเลขานุการฯ ผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล ที่จะมีสิทธิได้รับเงินประจําตําแหน่งตามพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจําตําแหน่งของข้าราชการและผู้ดํารงตําแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2538 ซึ่งกําหนดให้ข้าราชการจะมีสิทธิได้รับเงินประจําตําแหน่งก็ต่อเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่มีสิทธิได้รับเงินประจําตําแหน่งและต้องปฏิบัติหน้าที่หลักของตําแหน่งดังกล่าวด้วย ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินประจําตําแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล และเงินค่าตอบแทนนักบริหารองค์การบริหารส่วนตําบล ระดับ 8 นอกเหนือจากเงินเดือนในช่วงเวลาดังกล่าว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไม่ได้จ่ายเงินประจําตําแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล เดือนละ 5,600 บาท เป็นระยะเวลา 5 เดือน และเดือนละ 7,000 บาท อีก 1 เดือน รวมเป็นเงินจํานวน 35,000 บาท และเงินค่าตอบแทนนักบริหารองค์การบริหารส่วนตําบล ระดับ 4 เดือนละ 5,600 บาท เป็นระยะเวลา 5 เดือน รวมเป็นเงิน จํานวน 33,600 บาท รวมเป็นเงิน จํานวนทั้งสิ้น 68,600 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี จึงมิได้เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด

โดยสรุป กรณีมีความขัดแย้งระหว่างพนักงานส่วนตําบลกับผู้บริหาร ของ อบต. และไม่สามารถโอนพนักงานส่วนตําบลผู้นั้นไปดํารงตําแหน่งใน อบต. อื่น ภายในจังหวัด เดียวกันได้ การที่นายก อบต. โดยความเห็นชอบของ ก.อบต. จังหวัด มีคําสั่งให้พนักงานส่วนตําบล ดังกล่าวไปประจําสํานักงานเลขานุการฯ เป็นเวลา 6 เดือน จึงชอบด้วยกฎหมาย

คําสําคัญ : การสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่/ข้าราชการส่วนท้องถิ่น/คณะกรรมการพนักงานส่วนตําบล/พนักงานส่วนตําบล/ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล/การบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตําบล/ปัญหาขัดแย้งในการบริหารงาน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 127/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

การจัดซื้อจัดจ้างผลงานก่อสร้างประเภทเดียวกันจะต้องอยู่ในขอบเขตงานหลักของงานที่จ้าง | เรื่องเด่น คดีปกครอง

การจัดซื้อจัดจ้างผลงานก่อสร้างประเภทเดียวกันจะต้องอยู่ในขอบเขตงานหลักของงานที่จ้าง

การจัดซื้อจัดจ้าง (คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าเสนอราคา)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

หนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร พัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.3/8891 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2565

เรื่อง ข้อหารือการพิจารณาผลงานประเภทเดียวกัน กําหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณา “ผลงานการก่อสร้างประเภทเดียวกัน” ไว้ 3 ประการ คือ
(1) ใช้เทคนิคการก่อสร้างเดียวกัน
(2) โครงสร้างหลักของงานก่อสร้างเป็นประเภทเดียวกัน
(3) ลักษณะการใช้งานเป็นประเภทเดียวกัน

ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีตามประกาศประมูลจ้างโครงการก่อสร้างคูระบายน้ำ ถนนเทศบาล ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของเทศบาลตําบล (ผู้ถูกฟ้องคดี) เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า งานที่ผู้ฟ้องคดีเสนอตามหนังสือรับรองผลงานในลําดับ 1 เป็นงานก่อสร้างที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ใช้สอยเฉพาะอาคารที่ทําการบ้านพักอาศัยของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอําเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างคูระบายน้ำสาธารณะ ตามโครงการก่อสร้างของผู้ถูกฟ้องคดี แม้การก่อสร้างตามหนังสือรับรองผลงานดังกล่าวจะมีการก่อสร้าง ถนน-ลาน คสล. รางระบายน้ำ-บ่อพัก ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับงานที่ประมูลจ้าง แต่การก่อสร้างดังกล่าวเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนเกี่ยวเนื่องและอยู่ภายในบริเวณอาคารสํานักงานและบริเวณ บ้านพักอาศัยของพนักงานเท่านั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการรองรับการระบายน้ำสาธารณะ ดังนั้น ขอบเขตงานหลักของการก่อสร้างตามหนังสือรับรองผลงานดังกล่าวจึงเป็นงานก่อสร้างอาคารประกอบกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 2 (ภาคใต้) จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีหนังสือชี้แจงเพิ่มเติม เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคํานวณราคากลางงานก่อสร้างว่า ค่า Factor F ที่นํามาคํานวณประมาณราคา ค่าก่อสร้างตามหนังสือรับรองผลงานดังกล่าวเป็นค่า Factor F งานก่อสร้างประเภทงานอาคารส่วนสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ถือว่าเป็นส่วนควบของงานก่อสร้างอาคาร จึงนําค่า Factor F ประเภทงานอาคารมาคํานวณราคากลางค่าก่อสร้าง แต่ในการก่อสร้างคูระบายน้ำของผู้ถูกฟ้องคดีได้ใช้ ค่า Factor F ในกลุ่มงานก่อสร้างทาง สะพานและท่อเหลี่ยม จึงมีรูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างกัน อีกทั้งตามเอกสารสรุปประมาณราคาค่าก่อสร้างปรากฏว่า มูลค่างานรางระบายน้ำ-บ่อพัก ของงานก่อสร้างดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 30.45 ของโครงการก่อสร้างเท่านั้น ผลงานการก่อสร้าง ตามหนังสือรับรองผลงานลําดับ 1 ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นผลงานก่อสร้างคนละประเภทกันกับงานจ้าง ตามประกาศประมูลจ้างของผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีโดยคณะกรรมการดําเนินการประมูลจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์จึงมีสิทธิที่จะไม่รับพิจารณาข้อเสนอของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งว่าผู้ฟ้องคดีมีคุณสมบัติไม่ถูกต้องครบถ้วนตามข้อกําหนดของเอกสารประมูลจ้าง จึงเป็นการกระทําที่ชอบตามประกาศประมูลจ้างแล้ว

นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ของการกําหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะเสนอราคาตามประกาศประมูลจ้างที่พิพาทก็เพื่อให้ได้ผู้รับจ้างที่มีประสบการณ์และขีดความสามารถในการก่อสร้างประเภทเดียวกัน ที่มีวงเงินการก่อสร้างใกล้เคียงกันกับงานที่จ้าง การนําผลงานก่อสร้างในประเภท เดียวกันที่มีมูลค่างานต่ำกว่าข้อกําหนดหลาย ๆ งานมารวมกันเพื่อให้มีวงเงินไม่น้อยกว่าข้อกําหนดในประกาศประมูลจ้างย่อมไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีเสนอหนังสือรับรองผลงานลําดับที่ 2-5 รวม 4 ฉบับ แม้จะเป็นงานก่อสร้างประเภทเดียวกันกับงานตามประกาศประมูลจ้างของผู้ถูกฟ้องคดี แต่เมื่อวงเงินในแต่ละสัญญาจ้างน้อยกว่าที่ผู้ถูกฟ้องคดีกําหนดจึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในประกาศประมูลจ้างของผู้ถูกฟ้องคดี

โดยสรุป แม้งานก่อสร้างอาคารสํานักงานและบ้านพักพนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามหนังสือรับรองผลงานของผู้ฟ้องคดีจะมีการก่อสร้างถนน-สาน คสล. และรางระบายน้ำ-บ่อพัก ในลักษณะเดียวกันกับงานจ้างก่อสร้างคูระบายน้ำในเขตเทศบาลที่จ้างในครั้งนี้ แต่เมื่องานก่อสร้างดังกล่าวเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนเกี่ยวเนื่อง ไม่อยู่ในขอบเขตงานหลักซึ่งเป็นงานก่อสร้างอาคาร อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ใช้สอยเฉพาะอาคารที่ทําการและบ้านพักอาศัย ของพนักงานการไฟฟ้าฯ ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อรองรับการระบายน้ำสาธารณะ ประกอบกับมีรูปแบบ และเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างกัน ผลงานการก่อสร้างตามหนังสือรับรองผลงานของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผลงานก่อสร้างคนละประเภทกับงานที่จ้าง

คําสําคัญ : การพัสดุ/จัดซื้อจัดจ้าง/ประมูลจ้าง/คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคา ผลงานก่อสร้าง ประเภทเดียวกัน หนังสือรับรองผลงาน คูระบายน้ำ/งานก่อสร้างประเภทอาคาร

หมายเหตุ : หนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.3/8891 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2565 เรื่อง ข้อหารือการพิจารณาผลงานประเภทเดียวกัน ได้กําหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา “ผลงานการก่อสร้างประเภทเดียวกัน” ว่า การกําหนดผลงานมีวัตถุประสงค์นอกจากจะให้ตัวผู้รับจ้างที่มีประสบการณ์ของงานก่อสร้างในประเภทเดียวกันแล้ว ต้องคํานึงถึงมูลค่าของราคาค่างานที่ผู้รับจ้างมีประสบการณ์ของงานก่อสร้าง ในงานประเภทเดียวกัน และต้องคํานึงถึงมูลค่าของราคาค่างานที่ผู้รับจ้างเคยดําเนินการมาแล้วด้วย การที่จะเห็นถึงขีดความสามารถนี้ได้ ก็ย่อมจะต้องบริหารงานภายใต้การจ้างครั้งเดียว มิใช่การจ้าง ในหลาย ๆ ครั้งมารวมกัน ดังนั้น ผลงานที่นํามายื่นจึงต้องเป็นผลงานของผู้รับจ้างในสัญญาเดียว เท่านั้น และเป็นสัญญาที่ผู้รับจ้างได้ทํางานแล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งได้มีการส่งมอบงานและตรวจรับเรียบร้อยแล้ว โดย “ผลงานการก่อสร้างประเภทเดียวกัน” หมายความว่า งานก่อสร้างที่ใช้เทคนิคในการก่อสร้างส่วนของโครงสร้างหลักเป็นประเภทเดียวกัน และลักษณะการใช้งานเป็นประเภทเดียวกันกับงานที่ประกวดราคาจ้างก่อสร้าง ซึ่งการกําหนดผลงานเป็นดุลพินิจของหน่วยงานของรัฐที่จะพิจารณาให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการกําหนดผลงานดังกล่าว

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 190/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง
ทนายคดีสัญญาทางปกครอง

คําสั่งบรรจุแต่งตั้งซึ่งเกิดจากการพิจารณาผลการสอบที่ทุจริตและผิดกฎหมาย | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งบรรจุแต่งตั้งที่เกิดจากการพิจารณาผลการสอบที่ทุจริตและผิดกฎหมาย

การบริหารงานบุคคลภาครัฐ (การบรรจุและแต่งตั้ง/ข้าราชการส่วนท้องถิ่น)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตําบล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกโดยการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบล พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 (ข้อ 6 และข้อ 8.5)
  2. ประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกโดยการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบล พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 (ข้อ 8.5)

องค์การบริหารส่วนตําบลที่ประสงค์จะสอบแข่งขันเพื่อสรรหาบุคคลเป็นพนักงาน ส่วนตําบล จะต้องมีหน่วยงานกลางที่คณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลคัดเลือกจากสถาบันการศึกษา หรือจากหน่วยงานของรัฐที่เห็นสมควร เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบแข่งขันทําหน้าที่ผลิตข้อสอบ ตรวจข้อสอบ และประมวลผลคะแนนหรืองานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่องค์การบริหารส่วนตําบล และเพื่อความโปร่งใสอาจมีการตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เพื่อแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในแต่ละขั้นตอน อย่างชัดเจนเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ตามข้อ 5 ของประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตําบล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกโดยการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบล พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 โดยในการวัดผล การสอบแข่งขัน ผู้เข้าสอบจะต้องมีความรู้ความสามารถทั่วไป ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะสําหรับ ตําาแหน่ง และภาคความเหมาะสมกับตําแหน่ง ในระดับดีทุกส่วน ซึ่งหลักเกณฑ์ตามข้อ 8.5 ของประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตําบลฯ ดังกล่าว ประกอบกับข้อ 8.5 ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการคัดเลือกโดยการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบล พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 กําหนดว่า การตัดสินว่าผู้ใดเป็นผู้สอบแข่งขันได้ให้ถือเกณฑ์ว่าต้องเป็น ผู้สอบได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของคะแนนเต็มแต่ละภาค ทั้งนี้ เพื่อให้การสอบแข่งขันเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีมาตรฐาน เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นธรรมแก่ผู้สมัครสอบแข่งขัน ทุกคน และเพื่อให้องค์การบริหารส่วนตําบลได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่เข้ารับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานส่วนตําบล อันจะเป็นการผดุงไว้ซึ่งระบบคุณธรรมในการสรรหาบุคคลเข้ารับราชการและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวม

เมื่อในการดําเนินการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบล ขององค์การบริหารส่วนตําบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ตามประกาศองค์การบริหารส่วนตําบล เรื่อง การคัดเลือกโดยการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบล ระดับ 1 ระดับ 2 และระดับ 3 ประจําปีงบประมาณ 2557 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ฟ้องคดีสอบไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ในแต่ละภาคที่สอบ แต่ได้มีการปลอมเอกสารแสดงผลคะแนนสอบ ของผู้สอบให้แตกต่างไปจากผลคะแนนการสอบที่แท้จริง อันเป็นการกระทําโดยทุจริตและผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้งและร้ายแรง เพื่อให้เข้าใจว่าผู้สอบบางรายรวมทั้งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ที่สอบได้ตามเกณฑ์ ที่กําหนด และรายงานผลคะแนนการสอบของผู้ฟ้องคดีต่อคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัดมหาสารคาม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) เพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีมติเห็นชอบให้บรรจุและแต่งตั้งผู้ฟ้องคดี เป็นพนักงานส่วนตําบล ทั้ง ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีมีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ตามที่กําหนดไว้ มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ให้ความเห็นชอบดังกล่าว จึงเป็นมติที่เกิดจากการพิจารณาผลการสอบที่ทุจริตและผิดกฎหมาย อย่างชัดแจ้งและร้ายแรง ไม่ใช่เป็นเพียงความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นตามปกติในการจัดสอบแข่งขัน เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนตําบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้มีคําสั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้ฟ้องคดีโดยอาศัยมติดังกล่าว คําสั่งนั้นจึงเป็นคําสั่งทางปกครองที่มีลักษณะผิดพลาดอย่างชัดแจ้งและร้ายแรง ในทางกฎหมายถือเสมือนว่าไม่มีการออกคําสั่งทางปกครอง ไม่ว่าการทุจริตหรือการแสดงข้อความอันเป็นเท็จนั้นจะเกิดจากการกระทําของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคําสั่ง ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งตั้งแต่วันที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง จึงชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี

โดยสรุป คําสั่งบรรจุและแต่งตั้ง บุคคลเป็นพนักงานส่วนตําบลที่ออกโดยอาศัยมติของ ก.อบต. จังหวัด ซึ่งเกิดจากการพิจารณา ผลการสอบที่ทุจริตและผิดกฎหมาย เป็นคําสั่งทางปกครองที่มีลักษณะผิดพลาดอย่างชัดแจ้งและร้ายแรง ในทางกฎหมายถือเสมือนว่าไม่มีการออกคําสั่งทางปกครอง ไม่ว่าการทุจริตนั้นจะเกิดจากการกระทําของผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งหรือไม่ก็ตาม

คําสําคัญ : ข้าราชการส่วนท้องถิ่น/พนักงานส่วนตําาบล/คําสั่งทางปกครองที่มีลักษณะผิดพลาดอย่างชัดแจ้งและร้ายแรง/การทุจริตผลการสอบ/การปลอมแปลงเอกสาร/การสอบแข่งขัน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 3/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนที่ออกโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนที่ออกโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง

การบริหารงานบุคคลภาครัฐ (การเพิกถอนหรือแก้ไขคําสั่งทางปกครอง)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 (มาตรา 49 วรรคสอง)
  2. กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2550 (ข้อ 6 (4))

กรณีศึกษาธิการจังหวัดพะเยา (ผู้ถูกฟ้องคดี) มีคําสั่งสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดพะเยา เรื่อง แก้ไขคําสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และให้รับค่าตอบแทนพิเศษ ตามมติของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดพะเยาที่พิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดี ขาดราชการโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ตามข้อ 6 (4) ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับแจ้งมติที่ประชุมของคณะกรรมการดังกล่าวในวันใด และอาจถือได้ว่าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการข้างต้นมีมติ เป็นระยะเวลาอย่างเร็วที่สุดที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องดําเนินการเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง ดังกล่าวภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 กล่าวคือ ภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีขาดราชการโดยที่ไม่ได้มีการขออนุญาตผู้บังคับบัญชาและไม่ได้ยื่นใบลากิจส่วนตัวให้ถูกต้องตามระเบียบ ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีรับราชการมาเป็นเวลานาน ย่อมต้องทราบกฎระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการลาราชการเป็นอย่างดี แต่ผู้ฟ้องคดีกลับละเลยไม่ดําเนินการให้ถูกต้อง และเมื่อถึงรอบการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานเพื่อพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ผู้ฟ้องคดีกลับปกปิดไม่ได้รายงานการขาดราชการดังกล่าว ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จนกระทั่งมีการร้องเรียนกล่าวหาผู้ฟ้องคดีว่ามีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้วันเวลาราชการมาปฏิบัติหน้าที่ส่วนตัวและได้มีการดําเนินการทางวินัยกับผู้ฟ้องคดี จนเป็นผลให้มีการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้กับผู้ฟ้องคดีโดยคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขั้นเงินเดือนที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับ ซึ่งแม้ว่าคําสั่งดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดี แต่เมื่อเป็นคําสั่งที่ทําขึ้นเนื่องจากผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้รับคําสั่งได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ผู้ออกคําสั่ง การเพิกถอนหรือแก้ไขคําสั่งดังกล่าวจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับให้ต้องกระทําภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่ได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําสั่งทางปกครองนั้นตามมาตรา 49 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําสั่งสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดพะเยาแก้ไขคําสั่งเลื่อนเงินเดือนของผู้ฟ้องคดี จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

โดยสรุป คําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนที่ออกโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนเนื่องจากผู้รับคําสั่งปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับการขาดราชการ การเพิกถอนหรือแก้ไขคําสั่งดังกล่าวไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับให้ต้องกระทําภายในเก้าสิบวัน

คําสําคัญ : ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา/การเพิกถอนหรือแก้ไขคําสั่งทางปกครอง/ คําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน/คําสั่งที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์/ผู้รับคําสั่งปกปิดข้อความจริง/ระยะเวลาเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 140/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คําสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อผู้ซื้ออาคารต่อจากเจ้าของเดิม ซึ่งก่อสร้างหรือต่อเติมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อผู้ซื้ออาคารต่อจากเจ้าของเดิม ซึ่งก่อสร้างหรือต่อเติมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย

การควบคุมอาคารและการผังเมือง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42)
  2. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (มาตรา 39 ทวิ)
  3. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 (มาตรา 30 วรรคหนึ่ง)
  4. กฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 36)

ตามข้อ 36 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กําหนดให้บ้านแถวต้องมีที่ว่างด้านหน้าระหว่างรั้ว หรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังอาคารกว้างไม่น้อยกว่า 3 เมตร และต้องมีที่ว่างด้านหลังอาคารระหว่างรั้ว หรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังอาคารกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ดังนั้น เมื่อเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้มีหนังสือร้องเรียนต่อนายกเทศมนตรีตําบล ส. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ว่ามีการก่อสร้างอาคาร ค.ส.ล. 3 ชั้น 8 คูหา เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย (บ้านแถว) โดยไม่ถูกต้องตามแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ยื่นขออนุญาต ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ทําการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนแล้วพบว่า อาคารดังกล่าว มีการก่อสร้างผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ทั้งยังไม่เป็นไปตามข้อ 36 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543)ฯ เนื่องจากบริเวณ ที่ว่างด้านหลังอาคารระหว่างรั้วหรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังอาคารด้านทิศเหนือมีระยะร่นกว้างเพียง 1.80 เมตร อันเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารและกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง แม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นผู้ซื้ออาคารในกลุ่มอาคารพิพาทมาจากเจ้าของเดิมจํานวน 1 คูหา โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างต่อเติมอาคารดังกล่าวก็ตาม แต่ในขณะที่เจ้าพนักงานท้องถิ่น ตรวจพบว่าอาคารดังกล่าวมีการก่อสร้างต่อเติมฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นย่อมมีอํานาจออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคารและห้ามมิให้บุคคลใดใช้อาคารนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนของอาคารในส่วนที่ต่อเติมโดยมิได้ รับอนุญาตได้ตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รวมทั้ง มีอํานาจที่จะพิจารณาว่าการก่อสร้างต่อเติมด้านหลังของอาคารเป็นกรณีที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้หรือไม่ แล้วดําเนินการออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารยื่นคําขออนุญาต หรือดําเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามมาตรา 41 หรือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ดําเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมด หรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กําหนดตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แล้วแต่กรณี ต่อไป การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ จึงอาศัยอํานาจ ตามความในมาตรา 40 และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มีคําสั่งจํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ คําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคาร คําสั่งห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารนี้ในส่วนที่ก่อสร้างผิดแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจนกว่าจะได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามที่ได้รับใบอนุญาต และคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง โดยจัดให้มีพื้นที่ว่างด้านหลังอาคาร ไม่น้อยกว่า 2 เมตร และให้ยื่นคําขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คําสั่งทั้งสามฉบับ จึงเป็นคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้คําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ที่วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการพิจารณาทํานองเดียวกัน กับเหตุผลในการออกคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นคําวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 จะใช้กับกรณีที่คู่กรณีมีสิทธิตามกฎหมายและคําสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจกระทบต่อสิทธิดังกล่าว แต่กรณีนี้เป็นการก่อสร้างอาคารฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมายอย่างชัดแจ้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงใช้อํานาจทางปกครองบังคับกับผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารเพื่อให้กระทําการตามที่กฎหมายกําหนด หรือละเว้นการกระทําที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว กรณีย่อมมิใช่คําสั่งทางปกครองที่อาจกระทบถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ต้องให้มีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ

โดยสรุป เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอํานาจออกคําสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดําเนินการ กับอาคารที่ก่อสร้างฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร เช่น คําสั่งระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติมอาคาร คําสั่งห้ามมิให้ใช้หรือเข้าไปในส่วนที่ก่อสร้างผิดแบบแปลน คําสั่งให้ยื่นคําขออนุญาตดัดแปลงอาคาร คําสั่งให้ดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารให้ถูกต้อง ดังนั้น แม้ผู้ซื้ออาคารจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างหรือต่อเติมอาคารที่เจ้าของเดิมกระทําฝ่าฝืนกฎหมายไว้ แต่หากขณะที่ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพบว่าอาคารดังกล่าวมีการก่อสร้างหรือต่อเติมฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ซื้อได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นย่อมมีอํานาจออกคําสั่งไปยังผู้ซื้อซึ่งเป็น เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารคนปัจจุบันได้ 

คําสําคัญ : บ้านแถว ที่ว่างด้านหลังอาคาร/ระยะร่น การก่อสร้างต่อเติมอาคารฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งเป็น กรณีแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 577/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คําสั่งให้รื้อถอนโฮมสเตย์ของเจ้าท่า | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งของเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนโฮมสเตย์ออกจากทะเลสาบสงขลา (เกาะยอ)

ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/การคมนาคมและการขนส่ง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1304 (2))
  2. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 (มาตรา 117 และมาตรา 118 ทวิ)
  3. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 (มาตรา 18)
  4. กฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2556 (ข้อ 4 และข้อ 5)
  5. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 เรื่อง การบรรเทาความเสียหาย ให้แก่ประชาชนในกรณีปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 (ข้อ 1 และข้อ 2)
  1. ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณาอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 (ข้อ 6 (2))

ผู้ฟ้องคดีซึ่งเดิมประกอบอาชีพประมงโดยเลี้ยงปลากะพงในกระชังบริเวณทะเลสาบสงขลา ได้ดัดแปลงขนที่ใช้ดูแลปลาในกระชังให้กลายเป็นอาคารไม้หลังคามุงกระเบื้อง พื้นที่รวม 176.12 ตารางเมตร เพื่อบริการนักท่องเที่ยวในลักษณะโฮมสเตย์ ซึ่งโฮมสเตย์ดังกล่าวสร้างขึ้น ในช่วงวันที่ 24 สิงหาคม 2537 จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 อันเป็นการปลูกสร้างในขณะที่ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 มีผลใช้บังคับแล้ว การที่โฮมสเตย์ ของผู้ฟ้องคดีปลูกสร้างล่วงล้ำลําน้ำทะเลสาบ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า จึงเป็นการกระทํา ที่ฝ่าฝืนมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 เมื่อต่อมามีการตรา พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 และมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 เรื่อง การบรรเทาความเสียหายให้แก่ประชาชนในกรณีปลูกสร้าง อาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ขึ้นใช้บังคับ ผู้ฟ้องคดีย่อมมีหน้าที่ ต้องแจ้งให้เจ้าท่าทราบถึงการปลูกสร้างอาคารที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 ประกอบกับข้อ 1 ของคําสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ยื่น แบบแจ้งการฝ่าฝืนการปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำต่อผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสงขลา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) แล้วเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2560 อย่างไรก็ตาม ข้อ 2 วรรคสาม ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวได้กําหนดแนวทางในการพิจารณาอนุญาต สําหรับอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่สร้างอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 รวมถึงกําหนดลักษณะของอาคารและการล่วงล้ำที่พึ่งอนุญาตได้ โดยให้เจ้าท่า นําหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความใน พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ กรณีเป็นอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่สร้างอยู่ก่อนกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ ให้เจ้าท่าเป็นผู้พิจารณาอนุญาต ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประกาศกําหนด ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคมได้อาศัยความในข้อ 2 วรรคสาม ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ออกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณาอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 โดยข้อ 6 (2) ของประกาศกระทรวงคมนาคมดังกล่าว ได้กําหนดประเภทของอาคารและสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำที่ปลูกสร้างตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2537 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 ที่พึ่งอนุญาตได้ไว้จํานวน 17 ประเภท เมื่อสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดี สร้างขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม 2537 จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 จึงถูกจํากัด ประเภทและลักษณะอาคารที่พึงอนุญาตได้ ตามนัยข้อ 6 (2) ของประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้ แม้ผู้ฟ้องคดีจะกล่าวอ้างว่า สิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีเป็นอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้สําหรับ วิถีชุมชนดั้งเดิม และใช้ประกอบอาชีพในภาคการเกษตร อันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่พึงอนุญาตได้ ตามข้อ 6 (2) (ณ) แต่จากการพิจารณาลักษณะสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีที่ดัดแปลงขนําเฝ้าปลา ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเข้าพักอาศัย ทําให้ขนําดังกล่าวเปลี่ยนสภาพและขยายขนาด จากที่มีอยู่เดิมจนเกินสมควรต่อการใช้ประโยชน์สําหรับเฝ้าปลาในกระชัง ย่อมแสดงให้เห็นว่านับแต่ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทําการดัดแปลงจากขนําเป็นโฮมสเตย์ ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้าง สําหรับการประกอบอาชีพประมงในภาคการเกษตรแล้ว วัตถุประสงค์หลักและสาระสําคัญของการใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีย่อมเปลี่ยนแปลงจากใช้เพื่อเฝ้ากระชังปลาไปเป็นโฮมสเตย์เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว และเมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้ประกอบอาชีพประมงในภาคการเกษตรเช่นเดิม การประกอบกิจการโฮมสเตย์ของผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่วิถีชุมชนดั้งเดิมที่เคยปฏิบัติกันมาช้านานของชาวบ้านในชุมชนที่เจ้าท่าจะสามารถพิจารณาอนุญาตให้ปลูกสร้างได้ตามข้อ 6 (2) (ณ) ของประกาศกระทรวงคมนาคมดังกล่าว

แม้ข้อ 5 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537)ฯ จะกําหนดให้เจ้าท่า อาจอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำที่ไม่มีลักษณะตามข้อกําหนดในข้อ 4 เป็นการเฉพาะรายได้ แต่เมื่อสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยตามวิถีชุมชน ดั้งเดิม หรือประกอบอาชีพในภาคการเกษตรตามวิถีชุมชนดั้งเดิม กลับมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหา กําไรจากสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำลําแม่น้ำดังกล่าว อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม กรณีจึงเกินความจําเป็นในการใช้พื้นที่ล่วงล้ำลําแม่น้ำลงไปในทะเลอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสําหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา 1304 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีปลูกสร้างอาคารพิพาทล่วงล้ำ ลําแม่น้ำเพื่อประกอบกิจการโฮมสเตย์ดังกล่าว ย่อมเป็นการอนุญาตที่เกินกว่าความจําเป็นและสมควร ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะอนุญาตให้ปลูกสร้างล่วงล้ำลําแม่น้ำได้ ตามข้อ 5 (2) ของประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณาอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคําสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำ จึงเป็นการกระทําที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำที่พิพาท ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้กระทําการ ฝ่าฝืนมาตรา 117 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 การที่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทภายในระยะเวลาที่กําหนด ตามมาตรา 118 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่งผลให้การที ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มีคําวินิจฉัยยกคําอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

โดยสรุป เมื่อเจ้าของอาคารหรือผู้ครอบครอง ได้ปลูกสร้างอาคารล่วงล้ำลําแม่น้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ย่อมเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 117 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 การที่เจ้าท่ามีคําสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนดตามมาตรา 118 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คําสําคัญ : อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้สําหรับวิถีชุมชนดั้งเดิม การอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำ ลําแม่น้ำเกินความจําเป็นการสร้างโฮมสเตย์ล่วงล้ำลําแม่น้ำ/คําสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำลําแม่น้ำ

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อส. 21/2560

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง