คําสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อผู้ซื้ออาคารต่อจากเจ้าของเดิม ซึ่งก่อสร้างหรือต่อเติมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อผู้ซื้ออาคารต่อจากเจ้าของเดิม ซึ่งก่อสร้างหรือต่อเติมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย

การควบคุมอาคารและการผังเมือง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42)
  2. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (มาตรา 39 ทวิ)
  3. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 (มาตรา 30 วรรคหนึ่ง)
  4. กฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 36)

ตามข้อ 36 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กําหนดให้บ้านแถวต้องมีที่ว่างด้านหน้าระหว่างรั้ว หรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังอาคารกว้างไม่น้อยกว่า 3 เมตร และต้องมีที่ว่างด้านหลังอาคารระหว่างรั้ว หรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังอาคารกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ดังนั้น เมื่อเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้มีหนังสือร้องเรียนต่อนายกเทศมนตรีตําบล ส. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ว่ามีการก่อสร้างอาคาร ค.ส.ล. 3 ชั้น 8 คูหา เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย (บ้านแถว) โดยไม่ถูกต้องตามแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ยื่นขออนุญาต ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ทําการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนแล้วพบว่า อาคารดังกล่าว มีการก่อสร้างผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ทั้งยังไม่เป็นไปตามข้อ 36 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543)ฯ เนื่องจากบริเวณ ที่ว่างด้านหลังอาคารระหว่างรั้วหรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังอาคารด้านทิศเหนือมีระยะร่นกว้างเพียง 1.80 เมตร อันเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารและกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง แม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นผู้ซื้ออาคารในกลุ่มอาคารพิพาทมาจากเจ้าของเดิมจํานวน 1 คูหา โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างต่อเติมอาคารดังกล่าวก็ตาม แต่ในขณะที่เจ้าพนักงานท้องถิ่น ตรวจพบว่าอาคารดังกล่าวมีการก่อสร้างต่อเติมฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นย่อมมีอํานาจออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคารและห้ามมิให้บุคคลใดใช้อาคารนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนของอาคารในส่วนที่ต่อเติมโดยมิได้ รับอนุญาตได้ตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รวมทั้ง มีอํานาจที่จะพิจารณาว่าการก่อสร้างต่อเติมด้านหลังของอาคารเป็นกรณีที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้หรือไม่ แล้วดําเนินการออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารยื่นคําขออนุญาต หรือดําเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามมาตรา 41 หรือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ดําเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมด หรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กําหนดตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แล้วแต่กรณี ต่อไป การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ จึงอาศัยอํานาจ ตามความในมาตรา 40 และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มีคําสั่งจํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ คําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคาร คําสั่งห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารนี้ในส่วนที่ก่อสร้างผิดแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจนกว่าจะได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามที่ได้รับใบอนุญาต และคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง โดยจัดให้มีพื้นที่ว่างด้านหลังอาคาร ไม่น้อยกว่า 2 เมตร และให้ยื่นคําขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คําสั่งทั้งสามฉบับ จึงเป็นคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้คําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ที่วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการพิจารณาทํานองเดียวกัน กับเหตุผลในการออกคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นคําวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 จะใช้กับกรณีที่คู่กรณีมีสิทธิตามกฎหมายและคําสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจกระทบต่อสิทธิดังกล่าว แต่กรณีนี้เป็นการก่อสร้างอาคารฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมายอย่างชัดแจ้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงใช้อํานาจทางปกครองบังคับกับผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารเพื่อให้กระทําการตามที่กฎหมายกําหนด หรือละเว้นการกระทําที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว กรณีย่อมมิใช่คําสั่งทางปกครองที่อาจกระทบถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ต้องให้มีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ

โดยสรุป เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอํานาจออกคําสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดําเนินการ กับอาคารที่ก่อสร้างฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร เช่น คําสั่งระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติมอาคาร คําสั่งห้ามมิให้ใช้หรือเข้าไปในส่วนที่ก่อสร้างผิดแบบแปลน คําสั่งให้ยื่นคําขออนุญาตดัดแปลงอาคาร คําสั่งให้ดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารให้ถูกต้อง ดังนั้น แม้ผู้ซื้ออาคารจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างหรือต่อเติมอาคารที่เจ้าของเดิมกระทําฝ่าฝืนกฎหมายไว้ แต่หากขณะที่ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพบว่าอาคารดังกล่าวมีการก่อสร้างหรือต่อเติมฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ซื้อได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นย่อมมีอํานาจออกคําสั่งไปยังผู้ซื้อซึ่งเป็น เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารคนปัจจุบันได้ 

คําสําคัญ : บ้านแถว ที่ว่างด้านหลังอาคาร/ระยะร่น การก่อสร้างต่อเติมอาคารฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งเป็น กรณีแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 577/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คําสั่งให้รื้อถอนโฮมสเตย์ของเจ้าท่า | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งของเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนโฮมสเตย์ออกจากทะเลสาบสงขลา (เกาะยอ)

ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/การคมนาคมและการขนส่ง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1304 (2))
  2. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 (มาตรา 117 และมาตรา 118 ทวิ)
  3. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 (มาตรา 18)
  4. กฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2556 (ข้อ 4 และข้อ 5)
  5. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 เรื่อง การบรรเทาความเสียหาย ให้แก่ประชาชนในกรณีปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 (ข้อ 1 และข้อ 2)
  1. ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณาอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 (ข้อ 6 (2))

ผู้ฟ้องคดีซึ่งเดิมประกอบอาชีพประมงโดยเลี้ยงปลากะพงในกระชังบริเวณทะเลสาบสงขลา ได้ดัดแปลงขนที่ใช้ดูแลปลาในกระชังให้กลายเป็นอาคารไม้หลังคามุงกระเบื้อง พื้นที่รวม 176.12 ตารางเมตร เพื่อบริการนักท่องเที่ยวในลักษณะโฮมสเตย์ ซึ่งโฮมสเตย์ดังกล่าวสร้างขึ้น ในช่วงวันที่ 24 สิงหาคม 2537 จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 อันเป็นการปลูกสร้างในขณะที่ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 มีผลใช้บังคับแล้ว การที่โฮมสเตย์ ของผู้ฟ้องคดีปลูกสร้างล่วงล้ำลําน้ำทะเลสาบ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า จึงเป็นการกระทํา ที่ฝ่าฝืนมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 เมื่อต่อมามีการตรา พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 และมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 เรื่อง การบรรเทาความเสียหายให้แก่ประชาชนในกรณีปลูกสร้าง อาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ขึ้นใช้บังคับ ผู้ฟ้องคดีย่อมมีหน้าที่ ต้องแจ้งให้เจ้าท่าทราบถึงการปลูกสร้างอาคารที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 ประกอบกับข้อ 1 ของคําสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ยื่น แบบแจ้งการฝ่าฝืนการปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำต่อผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสงขลา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) แล้วเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2560 อย่างไรก็ตาม ข้อ 2 วรรคสาม ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวได้กําหนดแนวทางในการพิจารณาอนุญาต สําหรับอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่สร้างอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560 รวมถึงกําหนดลักษณะของอาคารและการล่วงล้ำที่พึ่งอนุญาตได้ โดยให้เจ้าท่า นําหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความใน พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ กรณีเป็นอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่สร้างอยู่ก่อนกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ ให้เจ้าท่าเป็นผู้พิจารณาอนุญาต ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประกาศกําหนด ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคมได้อาศัยความในข้อ 2 วรรคสาม ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ออกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณาอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 โดยข้อ 6 (2) ของประกาศกระทรวงคมนาคมดังกล่าว ได้กําหนดประเภทของอาคารและสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำที่ปลูกสร้างตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2537 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 ที่พึ่งอนุญาตได้ไว้จํานวน 17 ประเภท เมื่อสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดี สร้างขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม 2537 จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 จึงถูกจํากัด ประเภทและลักษณะอาคารที่พึงอนุญาตได้ ตามนัยข้อ 6 (2) ของประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้ แม้ผู้ฟ้องคดีจะกล่าวอ้างว่า สิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีเป็นอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้สําหรับ วิถีชุมชนดั้งเดิม และใช้ประกอบอาชีพในภาคการเกษตร อันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่พึงอนุญาตได้ ตามข้อ 6 (2) (ณ) แต่จากการพิจารณาลักษณะสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีที่ดัดแปลงขนําเฝ้าปลา ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเข้าพักอาศัย ทําให้ขนําดังกล่าวเปลี่ยนสภาพและขยายขนาด จากที่มีอยู่เดิมจนเกินสมควรต่อการใช้ประโยชน์สําหรับเฝ้าปลาในกระชัง ย่อมแสดงให้เห็นว่านับแต่ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทําการดัดแปลงจากขนําเป็นโฮมสเตย์ ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้าง สําหรับการประกอบอาชีพประมงในภาคการเกษตรแล้ว วัตถุประสงค์หลักและสาระสําคัญของการใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีย่อมเปลี่ยนแปลงจากใช้เพื่อเฝ้ากระชังปลาไปเป็นโฮมสเตย์เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว และเมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้ประกอบอาชีพประมงในภาคการเกษตรเช่นเดิม การประกอบกิจการโฮมสเตย์ของผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่วิถีชุมชนดั้งเดิมที่เคยปฏิบัติกันมาช้านานของชาวบ้านในชุมชนที่เจ้าท่าจะสามารถพิจารณาอนุญาตให้ปลูกสร้างได้ตามข้อ 6 (2) (ณ) ของประกาศกระทรวงคมนาคมดังกล่าว

แม้ข้อ 5 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537)ฯ จะกําหนดให้เจ้าท่า อาจอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำที่ไม่มีลักษณะตามข้อกําหนดในข้อ 4 เป็นการเฉพาะรายได้ แต่เมื่อสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยตามวิถีชุมชน ดั้งเดิม หรือประกอบอาชีพในภาคการเกษตรตามวิถีชุมชนดั้งเดิม กลับมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหา กําไรจากสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำลําแม่น้ำดังกล่าว อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม กรณีจึงเกินความจําเป็นในการใช้พื้นที่ล่วงล้ำลําแม่น้ำลงไปในทะเลอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสําหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา 1304 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีปลูกสร้างอาคารพิพาทล่วงล้ำ ลําแม่น้ำเพื่อประกอบกิจการโฮมสเตย์ดังกล่าว ย่อมเป็นการอนุญาตที่เกินกว่าความจําเป็นและสมควร ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะอนุญาตให้ปลูกสร้างล่วงล้ำลําแม่น้ำได้ ตามข้อ 5 (2) ของประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณาอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลําแม่น้ำตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 32/2560 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคําสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำ จึงเป็นการกระทําที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลําแม่น้ำที่พิพาท ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้กระทําการ ฝ่าฝืนมาตรา 117 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 การที่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทภายในระยะเวลาที่กําหนด ตามมาตรา 118 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่งผลให้การที ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มีคําวินิจฉัยยกคําอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

โดยสรุป เมื่อเจ้าของอาคารหรือผู้ครอบครอง ได้ปลูกสร้างอาคารล่วงล้ำลําแม่น้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ย่อมเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 117 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 การที่เจ้าท่ามีคําสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนดตามมาตรา 118 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คําสําคัญ : อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้สําหรับวิถีชุมชนดั้งเดิม การอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำ ลําแม่น้ำเกินความจําเป็นการสร้างโฮมสเตย์ล่วงล้ำลําแม่น้ำ/คําสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำลําแม่น้ำ

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อส. 21/2560

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คําสั่งไม่รับคําขอจดแจ้งรายการภาระจํายอมในโฉนดที่ดินแปลงสามยทรัพย์ | เรื่องเด่น คดีปกครอง

คําสั่งไม่รับคําขอจดแจ้งรายการภาระจํายอมในโฉนดที่ดินแปลงสามยทรัพย์

ที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1299 มาตรา 1301 และมาตรา 1387)
  2. ระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับภาระจํายอม ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น พ.ศ. 2550 (ข้อ 14 วรรคหนึ่ง)

ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงภารยทรัพย์กับผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน แปลงสามยทรัพย์ ได้ทําบันทึกข้อตกลงภาระจํายอมบางส่วน ตกลงยินยอมให้ที่ดินบางส่วนทางด้านทิศใต้ตกอยู่ในบังคับภาระจํายอมเรื่องทางเดิน ทางรถยนต์ ไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภคอื่น อันเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีได้มาซึ่งภาระจํายอมตามมาตรา 1387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยนิติกรรม ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประเภทภาระจํายอมในสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินแปลงภารยทรัพย์ การได้มาซึ่งสิทธิในภาระจํายอม ของผู้ฟ้องคดีย่อมบริบูรณ์ใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้ตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่มีความจําเป็นที่จะต้องมีการจดทะเบียนไว้ในโฉนดที่ดินแปลงสามยทรัพย์ ของผู้ฟ้องคดี อย่างไรก็ตาม ข้อ 14 วรรคหนึ่ง ของระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเกี่ยวกับภาระจํายอมในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น พ.ศ. 2550 ได้กําหนดไว้ว่า การจดทะเบียนภาระจํายอม ถ้าคู่กรณีประสงค์จะจดไว้ในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถรับจดทะเบียนในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ได้ อันเป็นกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่จะรับจดทะเบียนภาระจํายอมในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ได้ต่อเมื่อคู่กรณีมีคําขอ ดังนั้น เมื่อต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคําขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขอให้จดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมประเภทภาระจํายอม เพื่อจดแจ้งรายการจดทะเบียนภาระจํายอมตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวลงในโฉนดที่ดินแปลงสามยทรัพย์ของผู้ฟ้องคดีด้วย โดยเป็นการยื่นคําร้องฝ่ายเดียว ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงภารยทรัพย์ไม่ได้ไปด้วย โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคําสั่งไม่รับคําขอจดแจ้งรายการจดทะเบียนภาระจํายอมในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการออกคําสั่ง โดยชอบด้วยข้อ 14 วรรคหนึ่ง ของระเบียบกรมที่ดินดังกล่าวแล้ว และการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) วินิจฉัยยกอุทธรณ์ผู้ฟ้องคดี ย่อมชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

แม้การได้มาซึ่งภาระจํายอมจะมีผลโดยบริบูรณ์ เมื่อมีการจดทะเบียนในที่ดิน แปลงภารยทรัพย์ตามมาตรา 1299 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็ตาม แต่การจดทะเบียนภาระจํายอมในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ถือได้ว่าเป็นการรับรองสิทธิในภาระจํายอมที่เจ้าของที่ดินแปลงสามยทรัพย์มีอยู่เหนือที่ดินแปลงภารยทรัพย์ ซึ่งสามารถยกขึ้นกล่าวอ้าง กับบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย อีกทั้ง การเปลี่ยนแปลง ระงับ หรือกลับคืนมาซึ่งภาระจํายอมจะมีผล บังคับโดยบริบูรณ์ตามกฎหมายก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ตามมาตรา 1301 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกภาระจํายอม นอกจากจะต้องมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกในที่ดินแปลงภารยทรัพย์แล้ว ก็จะต้องมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ด้วย เจ้าของที่ดินแปลงภารยทรัพย์ จึงจะสามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย กรณีจึงเห็นได้ว่า การจดทะเบียนภาระจํายอมในที่ดินแปลงสามยทรัพย์มีผลกระทบต่อสิทธิของเจ้าของที่ดินภารยทรัพย์ด้วย คู่กรณีที่จะแสดง ความประสงค์ในการขอจดทะเบียนภาระจํายอมในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ จึงหมายถึง ทั้งเจ้าของที่ดินแปลงสามยทรัพย์และแปลงภารยทรัพย์

โดยสรุป พนักงานเจ้าหน้าที่จะสามารถรับคําขอจดแจ้งรายการจดทะเบียนภาระจํายอมในที่ดินแปลงสามยทรัพย์ได้ ก็ต่อเมื่อคู่กรณีมีคําขอ โดยคู่กรณี หมายถึง ทั้งเจ้าของที่ดินแปลงสามยทรัพย์และแปลงภารยทรัพย์ เจ้าของที่ดินแปลงสามยทรัพย์จึงไม่อาจไปยื่นคําขอเพียงฝ่ายเดียวได้

คําสําคัญ : การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน/การจดทะเบียนภาระจํายอม

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 336/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง