การกำหนดค่าทดแทนกรณีที่ดินราคาตกทั้งแปลงเพราะสายไฟฟ้าแรงสูง

การกำหนดค่าทดแทนกรณีที่ดินราคาตกทั้งแปลงเพราะสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511

เมื่อที่ดินซึ่งเป็นหนึ่งในการลงทุนที่สำคัญที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกาลเวลา แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากที่ดินอันเป็นทรัพย์สินล้ำค่าของคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น มีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านกลางที่ดินของคุณ ทำให้ที่ดินนั้นถูกจำกัดการใช้ประโยชน์อย่างหนัก และมูลค่าลดลงทั้งแปลง แม้ว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินจะยังคงเป็นของคุณอยู่ก็ตาม เรื่องเด่นคดีปกครองกับทนายพฤกษ์คดีปกครอง ในตอนนี้นำเสนอถึงข้อพิพาทที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของที่ดินรายหนึ่งรู้สึกว่าค่าทดแทนที่ได้รับไม่เป็นธรรมและไม่สะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จึงตัดสินใจนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครอง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและสิทธิอันพึงได้จากผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันนี้

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งได้ดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าขนาด 500 กิโลโวลต์ ซึ่งมีแนวสายไฟฟ้าพาดผ่านกลางที่ดินแปลงใหญ่เนื้อที่กว่า 14 ไร่ โดยที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินทั้งหมดประมาณ 58 ไร่ของเจ้าของที่ดิน หน่วยงานรัฐได้จ่ายค่าทดแทนสำหรับที่ดินส่วนที่ถูกพาดผ่าน โดยอ้างอิงหลักการเดียวกับกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกำหนดอัตราการจ่ายค่าทดแทนเป็นร้อยละของราคาที่ดินตามประเภทการใช้ประโยชน์ เช่น ที่ตั้งเสาไฟฟ้าได้ 100% ที่พักอาศัย 90% และที่นาหรือที่ว่างเปล่าได้ 50% โดยใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ของกรมธนารักษ์เป็นเกณฑ์กำหนดค่าทดแทน ในกรณีนี้ เจ้าของที่ดินได้รับค่าทดแทนรวมเป็นเงิน 382,735 บาท แต่เจ้าของที่ดินเห็นว่าค่าทดแทนที่ได้รับไม่เป็นธรรมและไม่สะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากที่ดินทั้งแปลงได้รับผลกระทบและมูลค่าลดลงอย่างมาก จึงได้อุทธรณ์ขอให้จ่ายค่าทดแทนเพิ่มขึ้นในราคาต่อไร่เท่ากันทั้งแปลง แต่หน่วยงานรัฐปฏิเสธการจ่ายเพิ่มเติม ทำให้เจ้าของที่ดินต้องนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลปกครอง

ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดค่าทดแทนที่ดินเดิมยังไม่เหมาะสมและเป็นธรรม เนื่องจากสภาพทำเลที่ตั้งของที่ดินนั้นมีศักยภาพสูงกว่าที่ได้รับการประเมิน โดยที่ดินติดทางสาธารณประโยชน์มากกว่าหนึ่งด้าน นอกจากนี้ ที่ดินทั้งแปลงมีขนาดใหญ่ และการที่สายส่งไฟฟ้าพาดผ่านเฉียงจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ที่ดินถูกแบ่งออกเป็นสองแปลง และที่ดินในส่วนที่เหลือบางส่วน โดยเฉพาะด้านทิศเหนือที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมเรียวยาว ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่และไม่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย หรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภทอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า ที่ดินแปลงนี้มีด้านหน้ากว้างติดทางสาธารณประโยชน์ และมีศักยภาพสูงในการพัฒนาทั้งเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม การมีโครงข่ายไฟฟ้าและเสาไฟฟ้าตั้งอยู่บนที่ดิน จึงเป็นการจำกัดการใช้ประโยชน์อย่างมากและก่อให้เกิดความเสียหายต่อมูลค่าของที่ดินทั้งแปลงอย่างไม่มีกำหนดเวลา แม้จะไม่ได้เป็นการพรากกรรมสิทธิ์ไปจากเจ้าของที่ดิน แต่ก็ถือเป็นความเสียหายที่เกินกว่าปกติ เพื่อความเป็นธรรม ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาให้หน่วยงานรัฐต้องจ่ายค่าทดแทนสำหรับที่ดินในส่วนที่ถูกเขตเดินสายไฟฟ้า เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 53.6 ตารางวา ในราคาเท่ากันทั้งแปลงตามราคาค่าทดแทนที่คณะกรรมการฯ กำหนดให้สูงสุด คือ ไร่ละ 80,000 บาท และกำหนดจ่ายในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่ดิน เว้นแต่ส่วนที่เป็นที่ตั้งเสาไฟฟ้า ให้จ่ายในอัตราร้อยละ 100 ซึ่งคำนวณเป็นเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 691,605 บาท จากเดิมที่ได้รับไปแล้ว 382,735 บาท

โดยสรุป คดีนี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักในการพิจารณากำหนดค่าทดแทนที่ดินในกรณีที่ที่ดินของเอกชนถูกเขตเดินสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน ศาลได้เน้นย้ำว่าหน่วยงานผู้มีหน้าที่ต้องพิจารณาสภาพทำเลที่ตั้งที่แท้จริงของที่ดินและความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่การจ่ายค่าทดแทนเฉพาะส่วนที่ถูกพาดผ่าน แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ทำให้ที่ดินถูกแบ่งออกเป็นสองแปลง เกิดอุปสรรคและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์อย่างถาวร รวมถึงการที่มูลค่าของที่ดินทั้งแปลงลดลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือเป็นความเสียหายที่เกินกว่าปกติ การวินิจฉัยของศาลในคดีนี้จึงเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดค่าทดแทนที่เป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดิน เพื่อให้ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

คำสำคัญ: คดีปกครอง, ค่าทดแทนที่ดิน, สายส่งไฟฟ้าแรงสูง, เขตเดินสายไฟฟ้า, มูลค่าที่ดินลดลง, การใช้ประโยชน์ที่ดิน, ความเสียหายเกินกว่าปกติ, ศาลปกครองสูงสุด

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 253/2565

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง

คำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินกรณีที่ดินทับเขตป่าไม้ถาวร

คำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินกรณีที่ดินทับเขตป่าไม้ถาวร

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

  1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 (ข้อ 10(2), ข้อ 10(3), ข้อ 11, ข้อ 16)
  2. ระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497
  3. ประมวลกฎหมายที่ดิน (มาตรา 57 วรรคหนึ่ง, มาตรา 59, มาตรา 59 ทวิ)
  4. ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 (ข้อ 92)

เรื่องเด่นคดีปกครองกับทนายพฤกษ์คดีปกครองในตอนนี้เกี่ยวกับความเดือดร้อนของผู้ที่ต้องการออกโฉนดที่ดิน แต่กลับพบว่าที่ดินบางส่วนทับซ้อนกับแนวเขตป่าไม้ถาวร ทำให้เกิดคำถามว่าหน่วยงานใดมีอำนาจที่แท้จริงในการพิจารณาคำขอออกโฉนดที่ดินนี้ และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ 

ข้อเท็จจริงคดีนี้ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน 2 แปลงที่ซื้อมาจากบุคคลอื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด หลังจากการรังวัดพบว่าที่ดินมีการรุกล้ำหรือทับแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติและแนวเขตป่าไม้ถาวร จึงมีการตรวจสอบพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแจ้งว่าที่ดินบางส่วนอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดในฐานะคณะกรรมการและเลขานุการ ได้ตรวจสอบหลักฐานเดิม เช่น ส.ค. 1 ที่ผู้ครอบครองเดิมเคยใช้เป็นหลักฐานในการขอออก น.ส. 3 ก. พบว่าที่ดินข้างเคียงแจ้งการครอบครองไม่สอดคล้องสัมพันธ์กัน มีร่องรอยการขูดลบสภาพที่ดิน และเมื่อตรวจสอบจากระวางรูปถ่ายทางอากาศในช่วงชั้นปีต่างๆ ก็พบว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวมีสภาพเป็นป่ารกทึบ ไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ จึงเห็นว่าหลักฐาน ส.ค. 1 ไม่ใช่ที่ดินตามที่ผู้ขอนำมาใช้ประกอบการรังวัดเพื่อขอออก น.ส. 3 ก. ในขณะนั้น ซึ่งถือเป็นการรังวัดที่ดินโดยไม่มีหลักฐาน ทำให้หลักฐาน น.ส. 3 ก. ที่ผู้ฟ้องคดีนำมาใช้เป็นหลักฐานในการรังวัดเพื่อขอออกโฉนดที่ดินไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดจึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดิน ผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแต่ถูกยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาประเด็นสำคัญว่าการที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลเห็นว่าการออกโฉนดที่ดินทั่วไปเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด แต่สำหรับกรณีที่ที่ดินบางส่วนอยู่ในแนวเขตป่าไม้ถาวรนั้น กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้กำหนดให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมกันออกไปตรวจพิสูจน์ที่ดิน และเมื่อตรวจพิสูจน์เสร็จแล้ว ให้เสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าสมควรออกโฉนดที่ดินให้ได้หรือไม่ เพียงใด ซึ่งถือเป็นรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินในเขตป่าไม้ถาวร และเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะต้องพิจารณาสั่งการ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน และคณะกรรมการได้ร่วมกันตรวจสอบที่ดินแล้ว แต่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด (ในฐานะกรรมการและเลขานุการ) ได้ดำเนินการตรวจสอบหลักฐานเดิมและนำผลการตรวจสอบของตนมาพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินเอง โดยที่ยังมิได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน และผู้ว่าราชการจังหวัดยังมิได้มีการสั่งการ ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดมีคำสั่งให้ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท และให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป สำหรับประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่าศาลปกครองชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยว่าหลักฐานที่ผู้ฟ้องคดีอ้างเป็นเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้ออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบที่อาจส่งผลกระทบต่อป่าไม้ อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติ

โดยสรุป การดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐในเรื่องที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเขตป่าไม้ถาวร จะต้องเป็นไปตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แม้เจ้าพนักงานที่ดินจะมีอำนาจหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดินทั่วไป แต่ในกรณีพิเศษที่ที่ดินทับซ้อนกับเขตป่าไม้ถาวร อำนาจในการพิจารณาและสั่งการขั้นสุดท้ายจะอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด หลังจากผ่านกระบวนการตรวจพิสูจน์โดยคณะกรรมการร่วมกัน การดำเนินการที่ข้ามขั้นตอนสำคัญนี้ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและอาจถูกเพิกถอนได้ในที่สุด เป็นการตอกย้ำถึงหลักกฎหมายปกครองที่เน้นความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งทางปกครอง และการรักษาสมดุลระหว่างสิทธิของประชาชนกับการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

คำสำคัญ: คดีปกครอง, ที่ดิน, โฉนดที่ดิน, ป่าไม้ถาวร, การยกเลิกคำขอ, อำนาจหน้าที่, ผู้ว่าราชการจังหวัด, เจ้าพนักงานที่ดิน, คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน, ขั้นตอนการปฏิบัติราชการ

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 837/2565

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=rRRRS6Vl3AU


คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ออกโดยไม่มีอำนาจ

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ออกโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีผลบังคับให้เจ้าหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ

ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ : คำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีรังวัดที่ดินไม่ถูกต้อง ทำให้ ส.ป.ก. ได้รับความเสียหายจากการถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 420 และมาตรา 448 วรรคหนึ่ง)
  2. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (มาตรา 8 วรรคหนึ่ง มาตรา 10 วรรคสอง และมาตรา 12)

คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า : ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกรมที่ดินและสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสืรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ มีความเห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ทำการรังวัดตรวจสอบที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ ส.ป.ก. ผู้ซื้อที่ดินได้รับความเสียหาย และได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบว่าผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ทราบจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อมา คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามความเห็นของกระทรวงการคลังและรายงานค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้เป็นเงินจำนวน 4,045,034 บาท ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้เห็นชอบกับรายงานดังกล่าวเมื่อใด แต่เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง กรณีจึงถือว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 เป็นวันอย่างช้าที่สุดที่ผู้ถูกฟ้องคดีรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งหน่วยงานจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันดังกล่าว ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 แต่เนื่องจากในเรื่องนี้กรมที่ดินและ ส.ป.ก. ได้มอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ เท่านั้น ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ 16 มิถุนายน 2552 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีผลเป็นการบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ และแม้ต่อมาเลขาธิการ ส.ป.ก. จะได้มีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติราชการแทนในการออกคำสั่งเรียกเงินหรือรับเงินค่าสินไหมทดแทน และผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งมีหนังสือลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 แจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แต่เมื่อกรณีนี้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุดในวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 10 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ แล้ว

ประกอบกับในกรณีนี้ อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 เพิกถอนหรือแก้ไขแผนที่และเนื้อที่ใน น.ส. 3 ก. แปลงพิพาท และได้แจ้งคำสั่งให้ ส.ป.ก. ทราบ จึงต้องถือว่าวันที่ ส.ป.ก. ได้รับความเสียหาย คือวันที่ ส.ป.ก. ได้รับแจ้งคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งแม้ไม่ปรากฏว่า ส.ป.ก. ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวในวันใด แต่เมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ลงนามในคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขแผนที่และเนื้อที่เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความสิบปีนับแต่วันทำละเมิดตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น คำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งไม่อาจนำอายุความทางอาญามาบังคับใช้กับการใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของผู้ฟ้องคดีในคดีนี้ได้ เนื่องจากไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญา กับผู้ฟ้องคดีหรือได้มีคำพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

โดยสรุป เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับมอบอำนาจจากกรมที่ดิน และ ส.ป.ก. ให้มีอำนาจเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีผลบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ แม้ต่อมาเลขาธิการ ส.ป.ก. จะมีคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติราชการแทนในการออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วก็ตาม แต่เมื่อกรณีนี้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้พึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีออกคำสั่งเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันดังกล่าว จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นอายุความตามมาตรา 10 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

คำสำคัญ: คำสั่งให้ชดใช้เงิน/ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ/รังวัดที่ดิน/ส.ป.ก./ออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ/อายุความการใช้สิทธิเรียกร้อง/อายุความสองปี/อายุความสิบปี/อายุความทางอาญา

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 753/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://youtu.be/jFJ-yhBP_hI


การเลิกจ้างพนักงานจ้างตามภารกิจ กรณีผลการปฏิบัติงานไม่ผ่านเกณฑ์

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

การเลิกจ้างพนักงานจ้างตามภารกิจ กรณีผลการปฏิบัติงานไม่ผ่านเกณฑ์

สัญญาทางปกครอง : สัญญาจ้างพนักงานจ้างตามภารกิจ

คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า : นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้ทำสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานจ้างตามภารกิจ ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าพนักงานธุรการ มีกำหนดระยะการจ้าง 4 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 สิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2559 ต่อมา ในรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานพนักงานจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2557 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2557 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2557 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เห็นชอบตามที่ผู้บังคับบัญชาของผู้ฟ้องคดีได้ประเมินการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีที่ปรากฏผลการประเมินต้องปรับปรุง และเมื่อผู้ฟ้องคดีมีค่าเฉลี่ยของผลการประเมินติดต่อกัน 2 ครั้ง ต่ำกว่าระดับดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีคำสั่งลงวันที่ 14 ตุลาคม 2557 เลิกจ้างผู้ฟ้องคดี ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป ส่วนผู้ฟ้องคดีนั้น ได้มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ร้องทุกข์ต่อประธานคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครศรีธรรมราช (ก.อบต. จังหวัดนครศรีธรรมราช) กรณีไม่มอบหมายงานและไม่จ่ายเงินเดือนแก่ผู้ฟ้องคดี โดยในระหว่างการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ยังไม่แล้วเสร็จ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 22 ตุลาคม 2557 ขอความเห็นชอบเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีต่อ ก.อบต. จังหวัดนครศรีธรรมราช

เมื่อกรณียังไม่ปรากฏว่า ก.อบต. จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบในการเลิกจ้างแล้วแต่อย่างใด ประกอบกับเรื่องร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่สั่งให้ผู้บังคับบัญชามอบหมายงานแก่ผู้ฟ้องคดียังไม่ได้รับการวินิจฉัย กรณีจึงต้องถือว่ายังไม่มีการเห็นชอบในการเลิกจ้าง อันเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อ 43 ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับพนักงานจ้าง ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยสัญญาจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) จึงเป็นผู้ประพฤติผิดสัญญาต่อผู้ฟ้องคดีเสียเอง

อย่างไรก็ตาม สัญญาจ้างดังกล่าวได้สิ้นสุดลงไปด้วยระยะเวลาตามสัญญาจ้างแล้ว ศาลจึงไม่จำต้องกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ส่วนการต่อสัญญานั้น เมื่อ ก.อบต. จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังมิได้มีมติว่าการเลิกจ้างไม่ชอบหรือชอบแล้ว ศาลจึงไม่อาจก้าวล่วงไปพิจารณาต่อสัญญาจ้างดังกล่าวออกไปได้

โดยสรุป แม้พนักงานจ้างตามภารกิจจะมีค่าเฉลี่ยของผลการประเมินติดต่อกัน 2 ครั้ง ต่ำกว่าระดับดีก็ตาม แต่การที่นายก อบต. มีคำสั่งเลิกจ้างพนักงานจ้างดังกล่าว ทั้งที่พนักงานจ้างนั้นได้มีหนังสือร้องทุกข์ต่อ ก.อบต. จังหวัด กรณีไม่ได้รับการมอบหมายงานและไม่มีการจ่ายเงินเดือน ซึ่งการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ยังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้ง นายก อบต. ยังได้มีหนังสือขอความเห็นชอบการเลิกจ้าง ต่อ ก.อบต. จังหวัด เป็นการย้อนหลัง โดยยังไม่ปรากฏว่า ก.อบต. จังหวัด ได้ให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบในการเลิกจ้างแล้วแต่อย่างใด จึงต้องถือว่ายังไม่มีการเห็นชอบในการเลิกจ้าง อันเป็นการไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อสัญญาและกฎหมาย ดังนั้น การที่นายก อบต. ได้มีคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยสัญญาจ้างและกฎหมาย

คำสำคัญ: สัญญาจ้างพนักงานจ้างตามภารกิจ/องค์การบริหารส่วนตำบล/การเลิกจ้าง/การประเมินผลการปฏิบัติงานไม่ผ่านเกณฑ์/ประกาศหลักเกณฑ์เกี่ยวกับพนักงานจ้าง

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 80/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://youtu.be/K0axG9wXhn0


การเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

การเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่

ความรับผิดอย่างอื่น : ความรับผิดโดยปราศจากความผิด

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) และมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (3))
  2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 204 มาตรา 420 มาตรา 438 มาตรา 443 และมาตรา 1563)

คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า: ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ฟ. ผู้ตาย สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2555 จ่าสิบเอก น. จ่าสิบเอก ณ. เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองร้อย ร. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองร้อย ร. สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธร ได้รับคำสั่งจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ให้ร่วมกันเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ เพื่อจับกุมนาย อ. ผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาล โดยขณะปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย นาย ฟ. กับพวกรวม 5 คน กำลังร่วมกันเสพน้ำต้มใบกระท่อมที่ขนำในป่าละเมาะบริเวณใกล้เคียงพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งชุดของจ่าสิบเอก น. และจ่าสิบเอก ณ. ได้รับมอบหมายให้ปิดล้อมทางทิศตะวันตก เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจึงหยุดและหมอบ เห็นชายจำนวน 4 คน วิ่งมาจากชายป่าด้านทิศตะวันออกห่างประมาณ 200 เมตร จ่าสิบเอก น. ได้ยิงปืนขึ้นฟ้า จำนวน 2 นัด และร้องบอกว่า เจ้าหน้าที่ทหาร ให้หยุดและวางอาวุธ แต่ทั้งสี่คนไม่ยอมหยุด โดยมีหนึ่งคนวิ่งมาทางจ่าสิบเอก น. และจ่าสิบเอก ณ. เจ้าหน้าที่ทั้งสองจึงได้ยิงตอบโต้ จากนั้น ได้เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุพบศพนาย ฟ. นอนเสียชีวิต ข้างศพพบอาวุธปืนสงคราม ซองกระสุนปืน จำนวน 1 ซอง ภายในบรรจุกระสุนปืน จำนวน 21 นัด ลูกระเบิดสังหารแบบขว้าง เอ็ม 26 จำนวน 1 ลูก โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 1 เครื่อง และของกลางอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง จากนั้น จ่าสิบเอก ณ. ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กล่าวหานาย ฟ. ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า นาย ฟ. บุตรชาย อายุเพียง 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มิได้เป็นกลุ่มโจรใต้ที่เตรียมการก่อเหตุร้าย ไม่ได้เป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของกองทัพบก (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) สำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) กล่าวอ้าง นอกจากนั้น ในวันเกิดเหตุนาย ฟ. ไม่มีอาวุธปืนและไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ การกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และเกินความจำเป็น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง รวมทั้งให้ออกหนังสือขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะว่านาย ฟ. ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า: การที่นาย ฟ. ถูกยิงเสียชีวิตเป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพิสูจน์และจับกุมนาย อ. ตามหมายจับของศาลจังหวัด ซึ่งถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน และได้รับรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวเข้ามาในบริเวณพื้นที่ อันเป็นการดำเนินการตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และผลการตรวจพิสูจน์ไม่พบสารพันธุกรรม (DNA) ของนาย ฟ. ที่ลูกกระสุนปืน ด้ามปืน และไกปืน จากของกลางที่อยู่ใกล้ศพนาย ฟ. และผลรายงานการตรวจพิสูจน์ของชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดปรากฏว่า ลูกระเบิดของกลางอยู่ในสภาพเสื่อมใช้การไม่ได้ รวมถึงรายงานผลการตรวจพิสูจน์สารประกอบวัตถุระเบิดและสารเสพติดเบื้องต้นที่ไม่พบสารประกอบวัตถุระเบิดและสารเสพติดจากเสื้อผ้าของนาย ฟ. ซึ่งการไม่พบสารพันธุกรรม (DNA) ดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่า นาย ฟ. ไม่ได้ใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ แต่โดยที่ขณะปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพิสูจน์และจับกุมนาย อ. ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้ยินเสียงปืนและเข้าใจว่ามีการยิงต่อสู้มายังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงยิงตอบโต้ไปยังทิศทางที่เสียงปืนดัง การใช้อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยเป็นพิเศษต่อบุคคลหรือทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แม้กระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ยิงออกไป ได้ไปถูกนาย ฟ. ทางด้านหลังจนถึงแก่ความตาย โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านาย ฟ. มีอาวุธปืนหรือยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการก็ตาม แต่ในสถานการณ์เช่นว่านี้ ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีการก่อเหตุความไม่สงบ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงชอบที่จะใช้สิทธิป้องกันตัวตามกฎหมายโดยการยิงต่อสู้ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับจากการที่นาย ฟ. บุตรชายถูกยิงเสียชีวิตนั้น เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ปิดล้อมตรวจค้นพิสูจน์และจับกุมนาย อ. อันเป็นเหตุให้นาย ฟ. บุตรชายของผู้ฟ้องคดีทั้งสองถึงแก่ความตาย จึงยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

อย่างไรก็ดี แม้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดังกล่าวจะเป็นไปเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามหมายจับโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่ก็ทำให้เกิดอันตรายแก่นาย ฟ. โดยที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับนาย อ. บุคคลตามหมายจับดังกล่าว และไม่ได้ต่อสู้หรือยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ดังนั้น แม้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจะไม่ถือเป็นการกระทำละเมิด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็ต้องรับผิดจากการใช้อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการผู้ก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยหรืออันตรายซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ราษฎร กรณีจึงเป็นความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย รัฐจึงชอบที่จะเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาแก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ภายใต้หลักความรับผิดโดยปราศจากความผิดและทฤษฎีเสี่ยงภัย ซึ่งเป็นความรับผิดของรัฐที่กำหนดให้รัฐต้องรับผิดแม้การดำเนินการนั้นจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้รัฐต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่เอกชนก็ตาม ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีความรับผิดต้องเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งศาลสามารถกำหนดคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้เงินเพื่อเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบกับมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

สำหรับจำนวนค่าทดแทนความเสียหายนั้น เมื่อตามหลักกฎหมายปกครองและกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาบังคับใช้ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนโดยอนุโลม เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นบิดามารดาของนาย ฟ. ผู้ตาย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นทายาทโดยธรรมของนาย ฟ. เมื่อการตายของนาย ฟ. ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายตามมาตรา 1563 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายจำเป็นอย่างอื่น และค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ ทั้งนี้ ในส่วนของค่าปลงศพนั้น เมื่อภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ส่งใบเสร็จรับเงินซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้จ่ายไปเกี่ยวกับการจัดพิธีศพตามหลักศาสนา และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 105,500 บาท การที่ศาลปกครองกำหนดค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นในการปลงศพให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเงินจำนวน 105,500 บาท จึงเหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว สำหรับค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายนั้น เมื่อขณะที่นาย ฟ. ถึงแก่ความตาย นาย ฟ. มีอายุ 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และขณะยื่นฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นข้าราชการบำนาญ สังกัดกระทรวงกลาโหม ได้รับบำนาญเดือนละ 17,671 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นแม่บ้านและรับจ้างเย็บเสื้อผ้า มีรายได้ไม่แน่นอน เฉลี่ยเดือนละประมาณ 800 บาท เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นแล้ว เพื่อความเป็นธรรมจึงสมควรกำหนดค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ดังนี้ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเงิน 1,500 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 20 ปี เป็นเงิน 360,000 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงิน 1,500 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 20 ปี เป็นเงิน 360,000 บาท รวมเป็นเงินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต้องได้รับทั้งสิ้น 720,000 บาท ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้เยียวยาค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 825,500 บาท สำหรับในส่วนของดอกเบี้ยนั้น โดยที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบัญญัติไว้ว่าหน่วยงานทางปกครองที่ต้องรับผิดชำระหนี้ค่าทดแทนความเสียหายกรณีความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายนั้น ผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวเมื่อใด กรณีจึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 204 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้บังคับแก่คดีนี้ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนความเสียหายเมื่อใด และผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชุดใช้ดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป จนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีจะชำระเสร็จ และโดยที่พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564 โดยผลบังคับของพระราชกำหนดดังกล่าว ดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ ยังคงคิดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 อันเป็นวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับเป็นต้นไป ต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปีของต้นเงินค่าเสียหาย ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2556 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินค่าเสียหายจำนวน 825,500 บาท และดอกเบี้ยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปีของต้นเงินค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว

โดยสรุป ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในการจับกุมผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดน จนเป็นเหตุให้มีราษฎรที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด หรือต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เสียชีวิต แม้พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่จะยังไม่พอฟังแน่ชัดว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี โดยฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่ใช้สิทธิตามกฎหมายโดยการยิงต่อสู้ แต่หน่วยงานของรัฐก็ชอบที่จะรับผิดจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ผู้ก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยหรืออันตรายที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราษฎร ซึ่งถือเป็นความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาแก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้ ภายใต้หลักความรับผิดโดยปราศจากความผิดและทฤษฎีเสี่ยงภัยซึ่งศาลปกครองสามารถกำหนดคำบังคับให้หน่วยงานของรัฐใช้เงินเพื่อเยียวยาความเสียหายได้ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบกับมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

คำสำคัญ: ความรับผิดโดยปราศจากความผิด/ความรับผิดอย่างอื่น/ทฤษฎีเสี่ยงภัย/การกำหนดค่าสินไหมทดแทน/ความเสียหายต่อชีวิต/ค่าปลงศพ/ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น/ค่าขาดไร้อุปการะ/ดอกเบี้ยผิดนัด

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 969/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=O-3oa4I57ro


คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

การควบคุมอาคารและการผังเมือง : คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (มาตรา 31 มาตรา 39 ทวิ มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42)
  2. กฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 1 และข้อ 2)
  3. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 (ข้อ 74 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาทซึ่งเป็นตึก 8 ชั้น จำนวน 1 หลัง เพื่อใช้เป็นอาคารพักอาศัย พื้นที่รวม 5,043 ตารางเมตร ต่อมา นาย ส. เจ้าของอาคารที่อยู่ข้างเคียงอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการเขตจตุจักร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) เพื่อขอให้ตรวจสอบอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีว่าก่อสร้างถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่า ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 รายการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้างอาคารพิพาทจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารพิพาทตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 รวมทั้งได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน มีคำสั่งลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น เห็นว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งดังกล่าวให้ถูกต้อง จึงมีคำสั่งลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทบางส่วน จำนวน 4 รายการ ได้แก่ รายการข้อ 1 ตามแบบ ระดับพื้นอาคารชั้นล่าง ± 0.00 เมตร แต่ก่อสร้างสูงประมาณ 1.20 เมตร รายการข้อ 2 มิได้ทำการก่อสร้างบันไดที่ตำแหน่ง 3 C และ 5 C รายการข้อ 3 บริเวณด้านทิศตะวันออก ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 4 ได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องเพื่อใช้สอย และรายการข้อ 4 กั้นผนังอาคารชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม

กรณีตามรายการข้อ 1 นั้น โดยที่ข้อ 1 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดว่า “อาคารสูง” หมายความว่า อาคารที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือเข้าใช้สอยได้โดยมีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้า และข้อ 2 วรรคหนึ่งของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน กำหนดว่า ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดินนั้นยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร การที่ผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างพื้นอาคารชั้นล่างจาก ± 0.00 เมตร เป็น ± 1.20 เมตร และได้ก่อสร้างโครงเหล็กหลังคามุงกระเบื้องปกคลุมพื้นที่ชั้นดาดฟ้าและกั้นผนังโดยรอบเป็นชั้นที่ 9 ทำให้ความสูงของอาคารพิพาทเพิ่มขึ้นเป็น 25.08 เมตร ย่อมถือว่าเป็นอาคารสูงตามข้อ 1 ของกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนั้น เมื่อบริเวณด้านหน้าอาคารพิพาทติดกับถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างเพียง 5 เมตร จึงไม่สามารถก่อสร้างอาคารสูงในที่ดินดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อข้อ 2 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการแก้ไขอาคารพิพาทมิให้เข้าลักษณะเป็นอาคารสูงตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว

สำหรับกรณีตามรายการข้อ 3 นั้น โดยที่ข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาท กำหนดว่า อาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินเอกชน ให้ผนังด้านที่มีหน้าต่าง ประตู หรือช่องระบายอากาศ อยู่ห่างจากเขตที่ดินได้ สำหรับชั้นสองลงมาระยะไม่น้อยกว่า 2 เมตร สำหรับชั้นสามขึ้นไประยะไม่น้อยกว่า 3 เมตร และวรรคสอง กำหนดว่า สำหรับอาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน ริมระเบียงต้องห่างจากเขตที่ดินตามวรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริเวณด้านทิศตะวันออกของอาคารพิพาท ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 4 ผู้ฟ้องคดีได้ทำการต่อเติมกันสาดเป็นห้องใช้สอย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารพิพาทใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ขออนุญาตก่อสร้างเป็นกันสาดได้ จึงมีลักษณะเป็นระเบียงของอาคาร ทำให้ระเบียงมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินเอกชนเพียง 1.15 เมตร อันเป็นการขัดต่อข้อ 74 วรรคหนึ่ง ของข้อบัญญัติดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารส่วนข้างต้นให้เป็นกันสาดตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

ส่วนกรณีตามรายการข้อ 4 ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำการกั้นผนังอาคารพิพาทชั้นล่างด้านทิศใต้เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ห้องน้ำ-ส้วม นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตบริเวณอาคารชั้นล่างจะต้องเป็นพื้นที่เปิดโล่ง การกระทำของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้

เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกรณีที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทยื่นคำขออนุญาตหรือดำเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ หรือดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งข้างต้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารและผู้ครอบครองอาคารพิพาทรื้อถอนอาคารบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ที่ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารพิพาทตามรายการข้างต้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า อาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ถูกฟ้องคดีไม่เคยออกคำสั่งใด ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้อาคารพิพาท นั้น โดยที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้

โดยสรุป พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารจึงได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เมื่อเกิดกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับอาคารดังกล่าวได้เสมอ ดังนั้น คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ก่อสร้างอาคารพิพาทแล้วเสร็จและได้ใช้อาคารดังกล่าวอย่างสงบเปิดเผยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเดียวกันได้ 

คำสำคัญ: ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต/เจ้าพนักงานท้องถิ่น/คำสั่งให้รื้อถอนอาคาร/อาคารสูง/อาคารที่มีระเบียงด้านชิดที่ดินเอกชน/การก่อสร้างอาคารสูง

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 427/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=QozgvbTguEs


การขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

การขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

ความรับผิดอย่างอื่น : ขอให้จัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 (มาตรา 28 มาตรา 29 มาตรา 30 และมาตรา 30 ทวิ วรรคสาม)

คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี โดยที่ดินดังกล่าวบางส่วนอยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ อยุธยา 4-สีคิ้ว 2 จำนวน 3 ไร่ 23.2 ตารางวา คณะกรรมการพิจารณาราคาที่ดินและทรัพย์สินจังหวัดสระบุรีมีมติให้นำราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมปี พ.ศ. 2555 ถึง พ.ศ. 2558 มาเป็นฐานราคาที่ดิน และปรับเพิ่มอีกร้อยละ 20 เพื่อให้เป็นราคาประเมินทุนทรัพย์ที่จะมีการปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. 2559 แล้วนำมาปรับเพิ่มอีกในอัตรา 3 เท่า ทุกหน่วยราคา เป็นเกณฑ์กำหนดถือจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่ในโซน 03 บล็อก เอ หน่วยที่ ที่ดินไม่ติดถนน ซอย ทาง มีราคาค่าทดแทน ไร่ละ 150,000 บาท กำหนดจ่ายร้อยละ 90 จึงกำหนดค่าทดแทนเป็นเงิน 412,830 บาท ต่อมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 มีนาคม 2559 แจ้งจำนวนเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินดังกล่าว จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ขอค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยืนราคาเดิมและได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพิ่มให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงิน 4,321,170 บาท

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ค่าทดแทนฯ ที่แต่งตั้งโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รับฟังได้ว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ และด้านทิศใต้ติดเหมืองสาธารณประโยชน์ กรณีจึงต้องถือว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง อย่างไรก็ดี แม้ว่าที่ดินแปลงพิพาทจะเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณารูปแปลงที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองประกอบหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีมติตามรายงานการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ครั้งที่ 56/2558 (ครั้งที่ 366) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ที่กำหนดไว้ว่า หน่วยที่ 7 ที่ดินติดถนน ซอย ทาง ระยะ 40 เมตร และหน่วยที่ 8 ที่ดินนอกเหนือจากหน่วยที่ 1-7 แล้วเห็นว่า ในการกำหนดหลักเกณฑ์ในหน่วยที่ ที่กำหนดว่า ที่ดินนอกเหนือจากหน่วยที่ 1-7 นั้น ย่อมมีความหมายรวมถึงที่ดินที่ติดถนน ซอย ทาง แต่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านพ้นระยะ 40 เมตร จากถนน ซอย ทาง ด้วย มิได้มีความหมายแต่เพียงว่าเป็นที่ดินที่ไม่ติดถนน ซอย ทาง แต่เพียงอย่างเดียว เมื่อปรากฏว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ สภาพการทำประโยชน์เป็นที่นา ที่ดินบริเวณที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านอยู่ลึกเข้าไปพ้นระยะ 40 เมตร จากถนนด้านทิศเหนือของแปลงที่ดิน แม้จะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดไว้ในหน่วยที่ 7 ว่าจะต้องเป็นที่ดินติดถนน ซอย ทาง และถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านในระยะ 40 เมตร จากถนน ซอย ทาง ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ และด้านทิศใต้ติดเหมืองสาธารณประโยชน์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาระวางแผนที่ ยูทีเอ็ม ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จัดทำขึ้น จะเห็นได้ว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองบริเวณที่ถูกเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่านเริ่มจากด้านทิศใต้ของแปลงที่ดินที่ติดกับเหมืองสาธารณประโยชน์ในระยะ 40 เมตร จากเหมืองสาธารณประโยชน์ และเยื้องไปทางด้านทิศเหนือของแปลงที่ดิน เมื่อพิจารณาถึงรูปแผนที่ที่ดินและสภาพทำเลที่ตั้งของที่ดินแล้วเห็นว่า ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีทำเลและที่ตั้งดีกว่าที่ดินที่ไม่มีทางออกหรือไม่ติดถนน ซอย ทาง ซึ่งอยู่ในหน่วยที่ 4 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กำหนดราคาค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินไร่ละ 150,000 บาท ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหน่วยที่ 8 เช่นเดียวกับที่ดินที่ไม่มีทางออกหรือไม่ติดถนน ซอย ทาง จึงยังไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นควรกำหนดค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเพิ่มขึ้นในราคาที่ลดหลั่นจากราคาประเมินในหน่วยที่ 7 โดยกำหนดค่าทดแทนให้ในราคาไร่ละ 170,000 บาท เมื่อที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา อยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าเนื้อที่ 3 ไร่ 23.2 ตารางวา กำหนดราคาค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้ในราคาไร่ละ 170,000 บาท กำหนดจ่ายค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนด คิดเป็นไร่ละ 153,000 บาท ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นเงินจำนวน 467,874 บาท แต่เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินไปฝากให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองในนามของเจ้ามรดกไว้แล้วที่ธนาคารกรุงไทย สาขาบางกรวย เป็นเงิน 412,830 บาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพิ่มให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 55,044 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนับแต่วันที่ต้องมีการฝากเงินค่าทดแทนตามมาตรา 30 ทวิ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535 แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีคำขอในส่วนของดอกเบี้ย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้

สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอุทธรณ์ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าเสียประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งแปลง เป็นเงิน 9,500,000 บาท นั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าและเดินสายส่งไฟฟ้าผ่านที่ดินของบุคคลเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 28 และมาตรา 29 โดยกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้าตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เพียงแต่เป็นการจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินบางประการ ส่วนที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองบริเวณที่อยู่นอกเขตเดินสายไฟฟ้าไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้เป็นกรณีของการเวนคืนที่ดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดให้เจ้าของที่ดินอาจร้องขอให้เวนคืนที่ดินหรือซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ ดังนั้น เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดให้อำนาจแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไว้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองแต่อย่างใด

โดยสรุป กรณีที่มีการประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าและเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของบุคคล กฎหมายกำหนดให้รัฐต้องจ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้าเท่านั้น กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยังคงเป็นของเจ้าของที่ดิน เพียงแต่เป็นการจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินบางประการ ส่วนที่ดินบริเวณที่อยู่นอกเขตเดินสายไฟฟ้าไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินค่าทดแทนดังกล่าวไม่ได้เป็นกรณีของการเวนคืนที่ดินซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดให้เจ้าของที่ดินอาจร้องขอให้เวนคืนที่ดินหรือซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ หน่วยงานของรัฐจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาททั้งแปลงแต่อย่างใด

คําสําคัญ : ความรับผิดอย่างอื่น/การรอนสิทธิ/การกำหนดเขตโครงข่ายไฟฟ้า/ค่าทดแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน/สภาพทำเลที่ตั้งของที่ดิน/จำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อผ. 235/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=7DqE2mp3FS8


ระยะเวลาการฟ้องคดีความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

ระยะเวลาการฟ้องคดีความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

ละเมิดต่อบุคคลภายนอก : ละเมิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ได้รับความเสียหายจากการรังวัดและย้ายหลักเขตรุกล้ำที่ดิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1336)
  2. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (มาตรา 51)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดที่ดินข้างเคียงที่ดินของผู้ฟ้องคดี และมีการย้ายหลักเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินย้ายหลักเขตไว้ตำแหน่งเดิมและยกเลิกการรังวัดที่ดินดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ

เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและได้ซึ่งดอกผลแห่งที่ดินดังกล่าว กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งที่ดินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้การรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงข้างเคียงยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และเจ้าพนักงานที่ดินยังมิได้ใช้อำนาจสั่งแก้ไขรูปแผนที่หรือเนื้อที่ในโฉนดที่ดิน แต่หากมีการย้ายหลักเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลเป็นการสอดเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยปกติสุข อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี และตราบใดที่ยังไม่มีการย้ายหลักเขตที่ได้มีการปักโดยมิชอบออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีอันจะเป็นเหตุให้การกระทำละเมิดนั้นยุติลง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่ต่อเนื่องตลอดมา การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองชั้นต้น จึงเป็นการยื่นฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

โดยสรุป เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและได้ซึ่งดอกผลแห่งที่ดินดังกล่าว กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งที่ดินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงข้างเคียงและมีการย้ายหลักเขตเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลเป็นการสอดเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินโดยปกติสุข อันเป็นการกระทำละเมิด ตราบใดที่ยังไม่มีการย้ายหลักเขตที่ได้มีการปักโดยมิชอบออกจากที่ดินอันจะเป็นเหตุให้การกระทำละเมิดนั้นยุติลง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่ต่อเนื่องตลอดมา เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ย้ายหลักเขตไว้ตำแหน่งเดิมและยกเลิกการรังวัดที่ดินข้างเคียง กรณีจึงเป็นการฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดี

คําสําคัญ : ละเมิดจากการใช้อำนาจ,ย้ายหลักเขตที่ดิน,ละเมิดต่อเนื่อง,ระยะเวลาการฟ้องคดีปกครอง

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1125/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=akZbM-ZbsUI


การผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครองเมื่อค่าปรับจะเกินร้อยละสิบ | เรื่องเด่น คดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง 0636364547

การผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครองเมื่อค่าปรับจะเกินร้อยละสิบ 

สัญญาทางปกครอง : การใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครองกรณีค่าปรับจะเกินร้อยละ 10

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 ข้อ 131 (ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 183)

เมื่อคดีนี้เป็นข้อพิพาทตามสัญญาจ้างเหมาปรับปรุงทางเดินเท้าและปรับปรุงภูมิทัศน์ระหว่างเทศบาลนคร (ผู้ถูกฟ้องคดี) กับผู้ฟ้องคดี อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งมีข้อกําหนดในสัญญาเรื่องเบี้ยปรับด้วย การพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับเบี้ยปรับ ศาลจึงชอบที่จะ นําเอาบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในส่วนที่ว่าด้วยเบี้ยปรับมาใช้บังคับได้ โดยอนุโลม สําหรับข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหาร ราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 นั้น เป็นเพียงการกําหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการที่หน่วยงานของรัฐใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามอําเภอใจ โดยการนําเงินค่าปรับจํานวนร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างมาเป็นหลักเกณฑ์หนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาบอกเลิกสัญญาเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าค่าปรับตามสัญญาจะต้องจํากัดไว้ไม่เกินจํานวนร้อยละสิบ ของวงเงินค่าจ้างหรือค่าพัสดุ และหน่วยงานของรัฐจะต้องพิจารณาบอกเลิกสัญญาเมื่อจํานวนเงินค่าปรับเกินกว่าร้อยละสิบของวงเงินค่าจ้างหรือค่าพัสดุแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ผู้รับจ้างมีหนังสือยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แม้เงินค่าปรับจะเกินกว่าร้อยละสิบของวงเงินค่าจ้างหรือค่าพัสดุก็มิได้หมายความว่าหน่วยงานของรัฐจะผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาโดยมิได้พิจารณาถึงผลงานของผู้รับจ้างว่าจะสามารถทํางานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่สมควรหรือไม่ เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จําเป็น การพิจารณาค่าปรับที่เหมาะสมจึงต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของคู่สัญญาในการเคารพและปฏิบัติตามข้อสัญญา พฤติการณ์แวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์สาธารณะ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เหตุที่ผู้ฟ้องคดีทํางานล่าช้ากว่ากําหนดเวลาในสัญญา เกิดจากความไม่เอาใจใส่และไม่ตั้งใจทํางานของผู้ฟ้องคดีเอง ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งว่ายินยอมชําระค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น และประสงค์ที่จะดําเนินงานตามสัญญาต่อไปนั้น การจัดหาผู้รับจ้างใหม่ตามระเบียบของทางราชการย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดทําบริการสาธารณะให้ต้องเนิ่นช้าออกไป ประกอบกับไม่ได้มีอุปสรรคที่ร้ายแรงถึงขนาดที่จะไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาและให้ผู้ฟ้องคดีทํางานต่อไปแม้จะมีค่าปรับเกินกว่าร้อยละสิบของค่าจ้างตามสัญญา จึงชอบด้วยข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ตาม การพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวต้องกระทําเพียงเท่าที่จําเป็นเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าภายหลังสิ้นสุดสัญญา แม้ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ที่จะทํางานต่อจนแล้วเสร็จ และยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พฤติการณ์การทํางานของผู้ฟ้องคดีที่ยังคงทํางานล่าช้า ขาดแคลนแรงงาน ไม่สามารถกําหนดวันทํางานแล้วเสร็จที่แน่นอน ไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จตามที่ให้คํามั่นไว้ และไม่จัดส่งแผนงานก่อสร้างแม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้มีหนังสือทวงถามเร่งรัดหลายครั้ง ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จและผู้ถูกฟ้องคดีควรพิจารณาบอกเลิกสัญญากับผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาออกไปถึง 515 วัน นับแต่วันที่ครบกําหนดอายุสัญญาย่อมเป็นผลเสียทั้งต่อผู้ฟ้องคดีที่ต้องเสียค่าปรับเพิ่มขึ้นและยังเป็นผลเสียต่อผู้ถูกฟ้องคดีในการจัดทําบริการสาธารณะที่ต้องล่าช้าออกไปเกินสมควร จึงไม่ถือเป็นการใช้ดุลพินิจเท่าที่จําเป็นในการผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาตามข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นฯ ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ทางได้เสียของผู้ถูกฟ้องคดีทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินแล้ว เห็นว่า ค่าปรับตามสัญญาเป็นค่าปรับที่สูงเกินส่วนเห็นควรลดค่าปรับให้แก่ผู้ฟ้องคดี ลงเหลือร้อยละ 50 ของจํานวนค่าปรับตามสัญญา

โดยสรุป การใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญากรณีค่าปรับจะเกินร้อยละสิบ ข้อ 131 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 (ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 183) เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการที่หน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดกรณีการบอกเลิกสัญญาตามอําเภอใจ โดยการนําเงินค่าปรับจํานวนร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างมาเป็นหลักเกณฑ์หนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาบอกเลิกสัญญาเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าค่าปรับตามสัญญาจะต้องจํากัดไว้ไม่เกินจํานวนร้อยละสิบ และหน่วยงานของรัฐจะต้องบอกเลิกสัญญาเมื่อจํานวนเงินค่าปรับเกินกว่าร้อยละสิบ ทุกกรณีไปแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่ผู้รับจ้างมีหนังสือยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แม้เงินค่าปรับจะเกินกว่าร้อยละสิบ นั้น ก็มิได้หมายความว่าหน่วยงานของรัฐจะผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องพิจารณาถึงผลงานของผู้รับจ้างว่าจะสามารถทํางานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่สมควรหรือไม่ เนื่องจากการใช้ดุลพินิจผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวต้องกระทําเท่าที่จําเป็น โดยพิจารณาถึงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของคู่สัญญาในการเคารพและปฏิบัติตามข้อสัญญาพฤติการณ์แวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์สาธารณะเป็นกรณีไปเป็นสําคัญ 

คําสําคัญ : สัญญาทางปกครอง,สัญญาจ้างเหมาปรับปรุงทางเดินเท้าและปรับปรุงภูมิทัศน์,สัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค,ค่าปรับ,ค่าปรับเกินร้อยละสิบ,ค่าปรับสูงเกินส่วน,การพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาทางปกครอง,ดุลพินิจ,การใช้ดุลพินิจตามอําเภอใจ

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.324/2566

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=kHC-OUH3qv0


การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เปิดโอกาสแข่งขันอย่างเป็นธรรม | เรื่องเด่น คดีปกครอง

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง

การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เปิดโอกาสแข่งขันอย่างเป็นธรรม 

การพัสดุ : การยกเลิกการจัดซื้อหรือจัดจ้าง

หลักการสําคัญในการซื้อหรือการจ้างหรือการทําสัญญาของรัฐซึ่งรวมถึงหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นนั้น มีหลักการสําคัญในส่วนของวัตถุประสงค์ว่า ต้องดําเนินการโดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของหน่วยงานของรัฐหรือประโยชน์สาธารณะ และมีหลักการสําคัญในส่วนของการคุ้มครองและเป็นหลักประกันสิทธิของผู้เกี่ยวข้องว่า ต้องกระทําโดยเปิดเผย ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ดังนั้น โดยหลักรัฐจึงต้องมีข้อกําหนดในลักษณะ ที่ไม่เป็นการขัดหรือแย้งต่อหลักการดังกล่าว โดยหากเป็นกรณีที่เป็นการคัดเลือกเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐเป็นการทั่วไป การกําหนดคุณสมบัติดังกล่าวจะต้องไม่ถึงขนาดที่ทําให้เห็นได้ว่า ในทางข้อเท็จจริงแล้ว จะมีผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องที่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อเป็นคู่สัญญากับรัฐได้เพียงรายเดียว เพราะกรณีเช่นนี้ย่อมเท่ากับว่าข้อกําหนดดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อหลักการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อยกเว้นในกรณีมีเหตุผลความจําเป็นเฉพาะให้หน่วยงานของรัฐสามารถกําหนดคุณสมบัติของผู้เสนอราคาให้มีลักษณะเฉพาะได้โดยในส่วนของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอเป็นผู้ใช้อํานาจกํากับดูแลให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติงานไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ดังเช่นที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า โครงการจ้างเหมาซ่อมผิวทางจํานวน 9 ช่วง ตามประกาศประกวดราคาจ้างเหมาซ่อมสร้างผิวทาง Para Cape Seal (โดยวิธี Pavement In-Place Recycling) ซ่อมสร้างผิวทาง Para Asphaltic Concrete และสร้าง ผิวทาง Para Cape Seal ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ จํานวน 9 โครงการ ขององค์การบริหารส่วนตําบล (ผู้ฟ้องคดี) เป็นโครงการที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้รับจ้างก่อสร้างเป็นพิเศษโดยต้องรู้วิธีการก่อสร้างและการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่มีมาตรฐานการก่อสร้าง เพื่อให้งานก่อสร้างถนน ที่ต้องการมาตรฐานการทํางานสูงสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ได้มาตรฐานงานสร้างเป็นอย่างเดียวกัน และได้ผู้รับจ้างที่มีศักยภาพเหมาะสมกับงานจ้างก็ตาม แต่การพิจารณาดําเนินการก่อสร้างโครงการซ่อมสร้างผิวทางถนนนี้ นอกจากจะคํานึงถึงลักษณะและประเภทของงานก่อสร้างรวมถึงคุณสมบัติ ของผู้รับจ้างแล้ว ยังต้องคํานึงถึงสถานที่ตั้งของโครงการประกอบด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานที่ ดําเนินการในคดีนี้แล้ว ล้วนมีที่ตั้งโครงการตั้งอยู่คนละจุดคนละหมู่บ้านไม่เชื่อมต่อ มีสถานที่ตั้ง ห่างไกลกัน โดยสภาพของโครงการทุกโครงการจึงไม่อาจรวมว่าจ้างเป็นโครงการเดียวกันได้ ทั้งหากทําการจัดซื้อจัดจ้างแยกเป็นรายโครงการ ผู้ฟ้องคดีก็ยังคงสามารถกําหนดคุณสมบัติของผู้รับจ้าง เพื่อให้ได้ผู้รับจ้างที่มีความสามารถดําเนินงานตามโครงการและมีเครื่องจักรพร้อมในการทํางานได้ อยู่เช่นเดิม ประกอบกับเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานในสํานวนคดีปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้ทําตาราง เปรียบเทียบการแยกโครงการการจัดซื้อจัดจ้างและการเลือกผู้รับจ้างรายใหญ่กับรายย่อย โดยระบุเหตุผลในลักษณะที่เห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีประสงค์จะทําการรวมโครงการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ได้ผู้เสนอราคาที่เป็นผู้รับจ้างรายใหญ่ แต่หากแบ่งโครงการออกเป็นโครงการย่อยจะทําให้ได้ผู้รับจ้างรายย่อย ซึ่งไม่มีเครื่องจักร บุคลากรที่เชี่ยวชาญไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะดําเนินงานได้ จึงย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีรวมการจัดจ้างซ่อมสร้างผิวทางถนนทั้ง 9 ช่วง เป็นโครงการเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีคาดหมายเพื่อให้ได้ผู้รับจ้างรายใหญ่มาดําเนินการตามโครงการของผู้ฟ้องคดี และเป็นการคาดการณ์ตามความเข้าใจของผู้ฟ้องคดีเองว่าผู้รับจ้างรายย่อยจะไม่สามารถดําเนินงานก่อสร้างได้ตามความประสงค์ของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกัน อย่างเป็นธรรม อีกทั้งหากทําการแยกโครงการจัดซื้อจัดจ้างออกเป็น 2 กลุ่ม ตามประเภทงาน ผู้ฟ้องคดี ย่อมได้ผู้ที่จะเข้าเสนอราคาเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสําหรับกลุ่มประเภทงานนั้น ๆ ที่จะสามารถดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงไปได้เช่นเดียวกัน ในทางกลับกัน การรวมการซ่อมสร้างถนน ทั้ง 9 ช่วง เป็นโครงการเดียวกัน หากผู้ชนะการประกวดราคาเป็นผู้มีความสามารถเฉพาะงาน ประเภทใดประเภทหนึ่ง อาจก่อให้เกิดปัญหาไม่สามารถก่อสร้างงานอีกประเภทหนึ่งให้สําเร็จลุล่วง ตามความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีเองได้ นอกจากนี้ ในแง่ของการประหยัดงบประมาณของทางราชการ ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่า หากแบ่งย่อยเป็นรายโครงการโดยกําหนดราคากลางเป็นรายโครงการ จะทําให้แต่ละโครงการต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่ารวมโครงการ เนื่องจากค่า Factor F จะสูงขึ้นนั้น ยังไม่อาจรับฟังวิธีการคํานวณค่าก่อสร้างกรณีรวมจัดจ้างโครงการเดียวตามคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีว่าเป็นการคํานวณที่ถูกต้องได้ ในชั้นประกาศประกวดราคานี้ผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่สามารถสรุปหรือคาดหมายได้ว่า การจัดการประกวดราคางานซ่อมสร้างผิวทางของผู้ฟ้องคดีโดยรวมการก่อสร้าง 9 ช่วง เป็นโครงการ เดียวกัน จะเป็นวิธีการที่ทําให้ผู้ฟ้องคดีประหยัดงบประมาณได้มากกว่า โดยหากมีการบริหารจัดจ้างที่ดี และมีการแข่งขันราคากันอย่างเป็นธรรมในแต่ละโครงการ อาจทําให้วงเงินที่จะจัดจ้างในแต่ละโครงการต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ได้

สําหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกําาหนดให้ผู้เสนอราคาต้องมีผลงานก่อสร้างและมีประสบการณ์ ในการทํางานภาครัฐในสัญญาเดียวที่มีมูลค่า 9,900,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นการกําหนดเพื่อแสดง ให้เห็นถึงขีดความสามารถของผู้เข้าเสนอราคานั้น เมื่อพิจารณาวงเงินค่าก่อสร้างในแต่ละช่วงงานแล้ว เห็นได้ว่า มีมูลค่างานไม่ถึง 9,900,000 บาท และเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าการจัดจ้างซ่อมสร้างผิวทาง ถนนตามโครงการของผู้ฟ้องคดีต้องแยกดําเนินการเป็นรายโครงการ หากผู้ฟ้องคดีประสงค์จะกําหนด มูลค่างานก่อสร้าง จึงควรกําหนดให้สอดคล้องต่อค่างานก่อสร้างในแต่ละช่วงงาน โดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 ซึ่งแจ้งตามหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนมาก ที่ นร 0202/ว 1 ลงวันที่ 3 มกราคม 2537 และหนังสือสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ว 7914 ลงวันที่ 22 กันยายน 2543 ให้กําหนดผลงานก่อสร้างได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของวงเงิน งบประมาณ หรือวงเงินประมาณการ หรือราคากลาง การกําหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาให้ต้องเป็น ผู้เสนอราคาที่มีประสบการณ์ในการทํางานภาครัฐในสัญญาเดียวที่มีมูลค่า 9,900,000 บาท ของผู้ฟ้องคดี จึงมีลักษณะเป็นการไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ดังนั้น การที่นายอําเภอ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) มีคําสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดียกเลิกและระงับการดําเนินการตามประกาศประกวดราคาจ้างที่พิพาท จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้รับรายงานจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แล้วพิจารณาเห็นชอบด้วยกับความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

โดยสรุป ในการพิจารณาจัดจ้างซ่อมผิวทางถนนจํานวน 9 ช่วง ขององค์การบริหารส่วนตําบล นอกจากจะต้องคํานึงถึงลักษณะและประเภทของงานก่อสร้างรวมถึงคุณสมบัติของผู้รับจ้างแล้ว ยังต้องคํานึงถึงสถานที่ตั้งของโครงการประกอบด้วย เมื่อสถานที่ ดําเนินการแต่ละแห่งล้วนมีที่ตั้งอยู่คนละจุดห่างไกลกัน คนละหมู่บ้าน และไม่เชื่อมต่อ โดยสภาพ ของโครงการจึงไม่อาจรวมว่าจ้างเป็นโครงการเดียวกันได้ การที่องค์การบริหารส่วนตําบลรวมการจัดจ้างเป็นโครงการเดียวกัน โดยคาดหมายเพื่อให้ได้ผู้รับจ้างรายใหญ่มาดําเนินการตามโครงการ ดังกล่าว อันเป็นการหลีกเลี่ยงผู้รับจ้างรายย่อยจากการคาดการณ์เองว่าจะไม่สามารถดําเนินงานก่อสร้างได้ตามความประสงค์ การดําเนินการดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม การที่นายอําเภอในฐานะผู้ใช้อํานาจกํากับดูแลออกคําสั่งให้องค์การบริหารส่วนตําบลยกเลิกและระงับการดําเนินการตามประกาศประกวดราคาจ้างเหมาซ่อมสร้างผิวทางที่พิพาท และผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบด้วยกับความเห็นดังกล่าว จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย

คําสําคัญ : การประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์,การกําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ เสนอราคา,การเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม,โครงการจ้างเหมาซ่อมผิวทาง,การใช้อํานาจกํากับดูแลองค์การบริหารส่วนตําบล,การรวมว่าจ้างเป็นโครงการเดียว

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.149/2565

ที่มา : สสค.

———————————————

ทนายพฤกษ์ คดีปกครอง
– ปรึกษาคดี ติดต่อ 063-6364547
– Line: @prueklaw 

สำนักงานกฎหมาย พฤกษ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์
สำนักงานทนายความคดีปกครอง ทนายความคดีปกครอง


https://www.youtube.com/watch?v=XE6OwYSKDRM